ชีวิตหนี้เป็นหนี้ทองคำ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ชีวิตนี้เป็นหนี้ทองคำ
---------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ 13 กันยายน 2556 (เคยเขียนไว้เมื่อ 18 ธันวาคม 2554)
ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ เจ้าของฉายา Dr.Doom เคยเล่าเรื่องของ Marion Szablicki ผู้เป็นปู่ของลุงมาร์ค และเราจะเรียกท่านว่า “ปู่มาคิยง” ซึ่งหากเป็นคนจีนเราก็คงจะเรียกท่านว่า ย้งเล่ากง
ลุงมาร์ค เล่าว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของลุงเริ่มตั้งแต่ลุงยังเป็นลูกเจี๊ยบ และครูคนแรกก็คือ ย้งเล่ากง นี่เอง
น่าสนใจจริงๆ เพราะปู่มาคิยง หรือ ย้งเล่ากง สอนลุงมาร์ค เรื่อง “คุณค่าของทองคำ” เป็นเรื่องหลักเลยละ
ทำให้นึกไปถึงคุณทวดของเราเองที่บ้านอยุธยา เพราะตอนเรายังเป็นลูกเจี๊ยบ คุณทวดจะจับไปนั่งตัก ปั้นข้าวสุกร้อนๆ เป็นคำเล็กๆ ใส่ปาก แล้วตามด้วยเกลือเม็ดเล็กๆ ให้แทะ ในระหว่างนั้น คุณทวดก็จะเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เล่าเรื่องชาดกเก่าๆ แบบสุวรรณสาม ยอพระกลิ่น เล่าเรื่องประวัติบรรพบุรุษ และเรื่องการรู้จักหากับวิธีเก็บรักษาเงินโดยสั่งสอนให้สะสมเป็นทองคำไว้ เผื่อเกิดสงคราม เพราะค่าเงินจะลดฮวบฮาบ แต่ค่าทองตรงกันข้าม
ใครที่เคยเหยียดหยาม ดูหมิ่น ว่าคนโบราณเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็จงคุกเข่า เอาหัวไปโขกพื้นแรงๆ พร้อมกับพูดว่า ผู้น้อยสมควรตายๆๆๆ ได้แล้ว
ลุงมาร์ค บอกว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่มาคิยง ปู่รู้สึกว่าโลกนี้มีหนี้มากไป และเราทุกคนกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มืดมนยากลำบากเหมือนกับที่ปู่เคยผ่านมาใน ยุคที่มีแต่เงินกระดาษอันไร้ค่า มีสงครามทั่วทุกที่ ในขณะที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
ปู่มาคิยง บอก ลุงมาร์ค ว่า “ผู้อยู่รอดมาได้ควรเตือนคนรุ่นหลังว่า “ใครก็ตามที่ละเลยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็เชิญทำไปตามลำบากด้วยความเสี่ยงของเขาเอง”
ปู่ของลุงมาร์คเล่าเรื่องรัสเซียบุกเข้ายึดโปแลนด์ในวันที่ 17 กันยายน 1939 และภายใน 1 ปีหลังจากนั้น คนโปลิชหากไม่ถูกจับส่งไปทำงานหนักที่แคมป์แรงงาน ก็จะถูกจับส่งไปตายหยังเขียดที่คาซัคสถานกับไซบีเรีย
อืม ... ล้างเผ่าพันธุ์ของแท้เลยละ หากจะพูดว่าอาชญากรรมอย่างเดียวในสมัยนั้นคือการเกิดมาเป็นโปลิช ก็ไม่ผิดหรอก ซึ่งเป็นเพราะชาวโปลิช เป็นนักรบที่เกรียงไกร กล้าหาญ จนขึ้นชื่อมาก ทำให้รัสเซีย ต้องการกำจัดให้กำลังอ่อนแอลง จึงได้ประหารชีวิต หรือส่งไปตายนอกประเทศโปแลนด์
และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียก็ไม่เคยคืนบ้าน ที่ดิน ให้คนโปแลนด์เลย แถมในปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โปแลนด์ตะวันออกก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่ดี
ในช่วงสงคราม ค่าของเงินกระดาษอ่อนแอและเปราะบางมาก ยิ่งประเทศใดแพ้สงคราม ค่าเงินของประเทศนั้นก็ไม่เหลือ ซึ่งลุงมาร์คเล่าว่ามันเกิดขึ้นกับปู่มาคิยงหรือย้งเล่ากงผู้อาศัยอยู่ทาง โปแลนด์ตะวันออกในปี 1939
ปู่มาคิยง เล่าให้ลุงมาร์คฟังว่า ......
“ในวันที่ 18 กันยายน 1939 (1 วันหลังรัสเซียยึดโปแลนด์) ปู่ได้รู้ว่าข่าวลือที่รัสเซียจะเข้ายึดโปแลนด์ตะวันออกเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์เราเพิ่งถูกเยอรมันนีเข้าตี ทวดโดนเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปต่อสู้ป้องกันประเทศตั้งแต่เยอรมันนีเข้าบุก แต่เมื่อรัสเซียเข้ายึดได้หลังจากนั้น เขาก็บอกพวกเราทั้งหมดที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบกับพวกเยอรมันให้กลับบ้าน
ปู่มีเมียกับลูกสาว 3 ขวบที่ต้องไปปกป้อง จึงรีบเดินเท้า 40 กิโลวันเดียวรวด เพื่อกลับหมู่บ้านที่โปแลนด์ตะวันออกทันที ด้วยความเป็นห่วงลูกเมีย”
“บ้านเราอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียซึ่งพวกมันจะเข้ามาถึงได้ในเวลาไม่นานเลย แม้ว่าปู่จะเป็นแค่คนใช้แรงงานแต่เมียของปู่มีฐานะดีกว่า เราจึงมีทองคำกับเพชรนิลจินดาของครอบครัวเธอไม่น้อย ปู่รีบขุดหลุมเอามันไปซ่อนไว้ให้ปลอดภัย เพราะปู่รู้ว่าเงินสกุล Zloty ของเราจะพังทลาย และทองคำจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเงินตราได้ ซึ่งต้องเก็บไว้ใช้เพื่อดำรงชีวิตครอบครัวของเรา
นี่ก็เพราะปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในตอนเด็กๆ โปแลนด์เคยเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมาแล้วในปี 1923 แล้วตามมาติดๆ ด้วยภาวะเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ที่เยอรมัน ซึ่งทำให้พ่อกับพี่น้องของปู่และปู่เองต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาหาร ด้วยสินค้าอื่นหรือทองคำเพราะเงินกระดาษไม่มีค่าเลย คนขายไม่ยอมรับ ทองคำได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีค่าสูงและพกพาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ ง่าย
พ่อของปู่เคยเล่าเรื่องคล้ายๆ กันที่เคยมีประสบการณ์สมัยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ก็ได้พ่อของปู่นี่หละ ที่สอนว่า ทองคำเป็นเงินตราเพียงสกุลเดียวที่ไม่มีเส้นแบ่งของประเทศ”
“แล้วกองทัพรัสเซียก็เข้ามาถึงหมู่บ้านเราใน 2 วันหลังจากนั้น มันก็โชคดีจริงๆ ที่ปู่เกิดในไซบีเรียตะวันออก และเคยเป็นนักมวยในรัสเซียมาหลายปี เพราะมันทำให้ปู่พูดภษารัสเซียได้สบายๆ และปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในช่วงปฏิวัติรัสเซียก่อนหน้านั้น ใครที่ไม่ใช่พวกมันหรือดูมีการศึกษา มีชาติตะกูลที่ดีกว่า (คงจะแบบอำมาตย์บ้านเรา) จะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ร่วมปฎิวัติรัสเซียที่โกรธแค้น ชิงชัง ขนาดไหน”
“ปู่จึงสื่อสารกับทหารรัสเซียหลายคนเพื่อหาทางออกให้กับชะตากรรมของพวกเรา แล้ว 2 สัปดาห์ถัดมา พ่อตาของปู่ซึ่งเพิ่งเกษียณจากการเป็นทหารโปแลนด์ก็ถูกจับไป เราไม่ได้พบท่านอีกแล้ว และคาดเดาได้ว่าท่านคงถูกพวกรัสเซียประหารชีวิตไปพร้อมๆ กับข้าราชการชาวโปแลนด์อีกหลายพันคน ปู่ต้องรีบให้แม่ยายอพยพออกไปทันที แล้วเราก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย”
“ฤดูหนาวมาถึงพร้อมกับความหนาวเย็นที่สุดและการขาดแคลนอาหารกับสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิต มันมาพร้อมกับข่าวว่าพวกรัสเซียจะจับคนโปลิชไปโยนทิ้งนอกแผ่นดินของเรา ในเดือนกุมภาพันธุ์ 1940 ชาวโปแลนด์ที่เป็นตำรวจ เจ้าของที่ดิน และผู้มีการศึกษามากมาย พร้อมญาติๆ โดนจับตัวไปทิ้งนอกประเทศในดินแดนที่ยากลำบาก
แล้วเรื่องนี้ก็มาถึงบ้านเราในกลางดึกที่มีทหารรัสเซีย 4 นายพร้อมอาวุธสงคราม มาเคาะประตูบ้านปู่ ปู่ต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยภาษารัสเซีย แต่พวกเขาก็สั่งให้ปู่ใส่เสื้อโค้ทและตามพวกเขาไป ปู่ก็ทำตามโดยดี และโดนซักฟอกด้วยคำถามมากมาย”
“โชคดีจริงๆ ที่ 1 ในทหาร 4 คนที่มาเอาตัวปู่ไปนั้น เป็นคนที่ปู่วิสาสะด้วยหลายครั้งในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ปู่จึงไม่โดนฆ่า และได้รับคำตัดสินว่า เนื่องจากปู่เกิดในไซบีเรีย พูดรัสเซีย และเป็นคนไม่มีการศึกษาเหมือนพวกเรา เขาจึงปล่อยให้กลับไปบ้านก่อน แล้วทหารคนนั้นก็มาจับข้อศอกปู่แล้วกระซิบว่า กลับไปหาครอบครัวซะ มาคิยง เตรียมตัวให้ดีเพราะพวกคุณจะถูกส่งไปไซบีเรียในวันหลัง”
“ปู่โกยแน่บกลับบ้านทันที แล้วขุดเอาทองคำกับเพชรนิลจินดาออกมาในช่วงค่ำ แล้วเอาเหรียญทองคำอันเล็กวางเรียงบนพื้นในรองเท้าบูธ เอาหนังปูทับอีกทีจะได้เดินไม่เจ็บ แล้วเอาเหรียญทองคำขนาดใหญ่ไปใส่ในส้นรองเท้า เหรีญทองคำกับสร้อยทองหลายเส้นที่เหลือซ่อนไว้หลายๆ ตำแหน่งในเสื้อโค้ทตัวใหญ่อย่างระมัดระวังไม่ให้ตรวจเจอได้”
“หลายวันหลังจากนั้น พวกมันมาเคาะประตูบ้านตอนตีสี่ บอกให้เราขนของและรีบอพยพไปไซบีเรียภายใน 15 นาทีเท่านั้น โชคดีที่นายทหารคนนั้นกระซิบบิกไว้ก่อน และตอนนี้บ้านเรา ที่ดินเรา ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ยังอยู่ในนั้นก็ยังกลายเป็นทรัพย์สินของพวกรัสเซียจนทุกวันนี้”
“เมียและลูกสาว 3 ขวบ กับปู่ ถูกจับใส่รถบรรทุกรวมกับคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมเดียวกัน มันพาเราไปสถานีรถไฟเพื่อส่งไปไซบีเรีย หลังจากวันนั้นพวกเราก็ไม่เคยพบพ่อแม่พี่น้องอีก และไม่เคยกลับไปเหยียบแผ่นดินโปแลนด์อีกเลย ปู่ดีใจที่มันไม่ได้ตรวจเสื้อโค้ทกับรองเท้าของปู่ เพราะทองคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซ่อนไว้มันจะช่วยให้เรารอดตายได้”
“รถไฟมาถึงในหลายชั่วโมงต่อมา พวกเราถูกจับยัดไปในขบวนตู้ขนฝูงสัตว์ ที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงไซบีเรียใน 3 สัปดาห์ และนรกมีจริง ตู้ขนฝูงสัตว์ที่แออัดแน่นเอี้ยด ไม่มีห้องน้ำ พอ 2-3 วันที พวกมันก็มาให้ขนมปังแข็งโป๊กกับน้ำนิดหน่อย หลายคนตายไปแล้ว แต่ก็แค่ถูกโยนศพทิ้งออกไปนอกหน้าต่างไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก ไม่มีสองมาตรฐาน
ปู่ร้องไห้ครั้งสุดท้ายในการเดินทางครั้งนั้นเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งคลอดเด็ก ทารกออกมา ไม่นานเด็กก็ตาย แล้วทหารก็เอาศพเด็กโยนทิ้งเหมือนเศษขยะ”
“เราถูกต้อนลงที่คาซัคสถานใกล้ชายแดนไซบีเรีย ที่นี่จะเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ของเรา เพราะชาวโปแลนด์ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเนื่องจากโดนโทษประหาร ให้หมด เราหนาวจนจะแข็งตายเพราะอุณหภูมิที่ -20 องศาเซลเซียส คนท้องถิ่น 1 ครอบครัวโดนสั่งให้รับพวกเราเข้าไปอยู่ด้วย 3-4 ครอบครัวต่อ 1 บ้าน ทั้งๆ ที่เขายากจนมาก แต่พวกคนรัสเซียท้องถิ่นเหล่านั้นก็ดีกับพวกเราเท่าที่จะทำได้ภายใต้ สถานการณ์ขณะนั้น
“ทองคำที่ปู่ซุกซ่อนมานั่นแหละที่ทำให้เรารอดมาได้ ปู่ใช้มันแลกกับที่อยู่ที่ดีขึ้น แลกเป็นเหรียญรูเบิ้ลแล้วใช้มันไปซื้ออาหารมาตุนไว้ตลอดฤดูหนาวอันทารุณ ปู่ซื้อเครื่องมือใช้สอยที่จำเป็น ใช้มันรับจ้างเลื่อยไม้ ซ่อมบันได และทำงานให้คนอื่นๆ เพื่อแลกกับเงินรูเบิ้ล หรืออาหาร
บางวันปู่ต้องออกไปทำงานโดยไม่แตะอาหารเลยเพราะต้องเก็บให้ลูกเมียได้มีประทังชีวิต
เราผ่านฤดูหนาวจนมาถึงฤดูร้อน ปู่เกือบตายเพราะมาเลเรีย และเมียปู่ก็เกือบตายจากไทฟอยด์ แต่ในเมื่อเรายังมีทองคำ เราก็เลยเข้าถึงยาได้ มันเป็นตามที่ปู่คิด คือเงิน Zloty ของโปแลนด์ไม่มีใครรับ รูเบิ้ลรัสเซียถึงจะใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรดีเท่าทองคำ”
“แล้วในปี 1941 พวกเราทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยไม่รู้เหตุผล (เยอรมันนีโจมตีรัสเซียวันที่ 22 มิถุนายน 1941 แล้วทำข้อตกลงให้ชาวโปแลนด์เป็นอิสระจากพวกรัสเซีย แต่ต้องไปเป็นทหารในเปอร์เซีย”
“ปู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารรัสเซียบอกปู่ว่า .... มาคิยง รีบพาครอบครัวไปขึ้นรถไฟด่วนที่สุดเลย ก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจ .... ปู่พาครอบครัวออกจากที่นั่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลายๆ คนที่โดนนำมาทิ้งที่นี่ล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางได้อีกแล้ว เขาเลยตัดสินใจอยู่ต่อ พอมาถึงสถานีรถไฟ ปู่ถึงรู้ว่าเขากำลังจะจัดตั้งกองกำลังโปแลนด์เพื่อส่งไปรบอีก แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายพวกเราบอกว่ารถไฟเต็มหมดแล้ว”
“ปู่จึงเดินไปหาเขาอย่างเงียบๆ และเสนอทองคำให้ 3 เหรียญทองเพื่อแลกกับที่ว่างในขบวนรถสำหรับเรา 3 คน เขาตกลง และเมื่อรถไฟมาถึง เขาค่อยๆ พาเราไปที่อีกด้านของขบวนรถ บอกกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟว่ามีคำสั่งพิเศษให้พาพวกนี้ 3 คนขึ้นไป เราจึงรอดพ้นจากคาซัคสถานมาได้ และอยู่ในกลุ่มชาวโปแลนด์หลายพันคนที่ยินดีจะจากคาซัคสถานเพื่อลงใต้อย่าง เร่งด่วนแล้วไปเข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์ที่เปอร์เซีย
“เราข้ามทะเลแคสเปียนด้วยเรือ มาถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นพวกแรกๆ ซึ่งเป็นโชคดีจริงๆ เพราะพวกที่มาทีหลังต้องเดินเรือถอยกลับไปรัสเซียมหาโหดอีกครั้ง เนื่องจากโควต้ากองทัพเต็มแล้ว พวกเราได้รับการต้อนรับจากชาวเปอร์เซียอย่างอบอุ่น เขารักษาพยาบาลพวกเราจนฟื้นฟูเป็นปกติ ให้เราไปอยู่ในบ้านเขา ปู่พบว่าชาวเปอร์เซียเป็นคนใจดีมีเมตตาที่สุดในโลก
“ปู่เข้าร่วมในกองทัพของนายพล Anders ชีวิตเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว ลูกเมียถูกส่งไปอยู่ที่อินเดียเพื่อความปลอดภัย ปู่ไม่ได้พบพวกเขาเลยตลอด 6 ปีในกองทัพ ไม่รู้กันเลยว่าใครจะเป็นอย่างไรกันบ้าง อยู่หรือตายก็ไม่รู้
“ปู่รบในอาฟริกาและอิตาลี และทำวีรกรรมไว้ที่ Monte Cassino ไม่เคยเจอเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แล้วเราก็ตัดสินใจเข้าตีเมือง Abbey ที่เยอรมันยึดไว้ ปู่ภูมิใจเหลือเกินที่เป็นชาวโปลิช ได้เข้าร่วมในกองทัพโปแลนด์ที่กล้าหาญและเก่งกาจที่สุดในวันนั้น”
“สงครามสิ้นสุด แล้วปู่ก็ตามไปค้นพบลูกเมียที่อินเดีย ซึ่งด้วยเหตุที่พวกเธออยู่อินเดียจึงทำให้พวกเธอต้องถูกส่งกลับไปอยู่ใกล้ๆ ลอนดอน ปู่จะตามไปเมื่อจบภาระกิจในกองทัพ แล้วปู่ก็ทำได้ใน 2 ปีถัดมา มันมหัศจรรย์ที่สุด และขอบคุณ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ไม่ยอมให้ใครผลักดันพวกเราชาวโปลิชออกไปไหนโดยไม่เต็มใจอีกแล้ว พี่น้องผู้ชายของปู่ทุกคนตายในสงครามป้องกันโปแลนด์จนหมดสิ้น
หากปู่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากพ่อเรื่องเงินเฟ้อ สงคราม กับคุณค่าของทองคำ เราคงไม่รอด
ปู่และลูกเมียเป็นหนี้ชีวิตต่อเหรียญและสร้อยคอทองคำเพียงหนึ่งกำมือ แล้วหลายวันก่อนที่พวกเราจะอพยพจากอังกฤษเพื่อไปอยู่ออสเตรเลียตามความต้อง การของเราเอง ปู่ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า ... มาคิยง เรามีที่ว่างให้พวกคุณในอเมริกา สนใจป่ะ ...
ปู่บอกว่า... เอาสิ .. เขาตอบว่ามาเลย เร็วที่สุด ... ปู่วิ่งเต็มสปีดไปตลอดทางเลย แล้วเราก็เลยได้มีชีวิตที่ดีที่สุดในอเมริกา”
หมายเหตุ : Victoria Szablicki ภริยาของ มาคิยง เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2011 หลังจากนั้น 11 วัน ปู่มาคิยง ของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ก็เสียชีวิตตามไปในวัย 100 ปี หลังจากได้รับเหรียญกล้าหาญอันสุดท้ายที่ทรงเกียรติยิ่งจากรัฐบาลโปแลนด์ คือ Siberian Cross ไปในวัย 98 ปี เขาทั้งสองคนมีชีวิตสมรสร่วมกันยาวนานถึง 76 ปี
---------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ 13 กันยายน 2556 (เคยเขียนไว้เมื่อ 18 ธันวาคม 2554)
ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ เจ้าของฉายา Dr.Doom เคยเล่าเรื่องของ Marion Szablicki ผู้เป็นปู่ของลุงมาร์ค และเราจะเรียกท่านว่า “ปู่มาคิยง” ซึ่งหากเป็นคนจีนเราก็คงจะเรียกท่านว่า ย้งเล่ากง
ลุงมาร์ค เล่าว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของลุงเริ่มตั้งแต่ลุงยังเป็นลูกเจี๊ยบ และครูคนแรกก็คือ ย้งเล่ากง นี่เอง
น่าสนใจจริงๆ เพราะปู่มาคิยง หรือ ย้งเล่ากง สอนลุงมาร์ค เรื่อง “คุณค่าของทองคำ” เป็นเรื่องหลักเลยละ
ทำให้นึกไปถึงคุณทวดของเราเองที่บ้านอยุธยา เพราะตอนเรายังเป็นลูกเจี๊ยบ คุณทวดจะจับไปนั่งตัก ปั้นข้าวสุกร้อนๆ เป็นคำเล็กๆ ใส่ปาก แล้วตามด้วยเกลือเม็ดเล็กๆ ให้แทะ ในระหว่างนั้น คุณทวดก็จะเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เล่าเรื่องชาดกเก่าๆ แบบสุวรรณสาม ยอพระกลิ่น เล่าเรื่องประวัติบรรพบุรุษ และเรื่องการรู้จักหากับวิธีเก็บรักษาเงินโดยสั่งสอนให้สะสมเป็นทองคำไว้ เผื่อเกิดสงคราม เพราะค่าเงินจะลดฮวบฮาบ แต่ค่าทองตรงกันข้าม
ใครที่เคยเหยียดหยาม ดูหมิ่น ว่าคนโบราณเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็จงคุกเข่า เอาหัวไปโขกพื้นแรงๆ พร้อมกับพูดว่า ผู้น้อยสมควรตายๆๆๆ ได้แล้ว
ลุงมาร์ค บอกว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่มาคิยง ปู่รู้สึกว่าโลกนี้มีหนี้มากไป และเราทุกคนกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มืดมนยากลำบากเหมือนกับที่ปู่เคยผ่านมาใน ยุคที่มีแต่เงินกระดาษอันไร้ค่า มีสงครามทั่วทุกที่ ในขณะที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
ปู่มาคิยง บอก ลุงมาร์ค ว่า “ผู้อยู่รอดมาได้ควรเตือนคนรุ่นหลังว่า “ใครก็ตามที่ละเลยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็เชิญทำไปตามลำบากด้วยความเสี่ยงของเขาเอง”
ปู่ของลุงมาร์คเล่าเรื่องรัสเซียบุกเข้ายึดโปแลนด์ในวันที่ 17 กันยายน 1939 และภายใน 1 ปีหลังจากนั้น คนโปลิชหากไม่ถูกจับส่งไปทำงานหนักที่แคมป์แรงงาน ก็จะถูกจับส่งไปตายหยังเขียดที่คาซัคสถานกับไซบีเรีย
อืม ... ล้างเผ่าพันธุ์ของแท้เลยละ หากจะพูดว่าอาชญากรรมอย่างเดียวในสมัยนั้นคือการเกิดมาเป็นโปลิช ก็ไม่ผิดหรอก ซึ่งเป็นเพราะชาวโปลิช เป็นนักรบที่เกรียงไกร กล้าหาญ จนขึ้นชื่อมาก ทำให้รัสเซีย ต้องการกำจัดให้กำลังอ่อนแอลง จึงได้ประหารชีวิต หรือส่งไปตายนอกประเทศโปแลนด์
และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียก็ไม่เคยคืนบ้าน ที่ดิน ให้คนโปแลนด์เลย แถมในปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โปแลนด์ตะวันออกก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่ดี
ในช่วงสงคราม ค่าของเงินกระดาษอ่อนแอและเปราะบางมาก ยิ่งประเทศใดแพ้สงคราม ค่าเงินของประเทศนั้นก็ไม่เหลือ ซึ่งลุงมาร์คเล่าว่ามันเกิดขึ้นกับปู่มาคิยงหรือย้งเล่ากงผู้อาศัยอยู่ทาง โปแลนด์ตะวันออกในปี 1939
ปู่มาคิยง เล่าให้ลุงมาร์คฟังว่า ......
“ในวันที่ 18 กันยายน 1939 (1 วันหลังรัสเซียยึดโปแลนด์) ปู่ได้รู้ว่าข่าวลือที่รัสเซียจะเข้ายึดโปแลนด์ตะวันออกเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์เราเพิ่งถูกเยอรมันนีเข้าตี ทวดโดนเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปต่อสู้ป้องกันประเทศตั้งแต่เยอรมันนีเข้าบุก แต่เมื่อรัสเซียเข้ายึดได้หลังจากนั้น เขาก็บอกพวกเราทั้งหมดที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบกับพวกเยอรมันให้กลับบ้าน
ปู่มีเมียกับลูกสาว 3 ขวบที่ต้องไปปกป้อง จึงรีบเดินเท้า 40 กิโลวันเดียวรวด เพื่อกลับหมู่บ้านที่โปแลนด์ตะวันออกทันที ด้วยความเป็นห่วงลูกเมีย”
“บ้านเราอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียซึ่งพวกมันจะเข้ามาถึงได้ในเวลาไม่นานเลย แม้ว่าปู่จะเป็นแค่คนใช้แรงงานแต่เมียของปู่มีฐานะดีกว่า เราจึงมีทองคำกับเพชรนิลจินดาของครอบครัวเธอไม่น้อย ปู่รีบขุดหลุมเอามันไปซ่อนไว้ให้ปลอดภัย เพราะปู่รู้ว่าเงินสกุล Zloty ของเราจะพังทลาย และทองคำจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเงินตราได้ ซึ่งต้องเก็บไว้ใช้เพื่อดำรงชีวิตครอบครัวของเรา
นี่ก็เพราะปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในตอนเด็กๆ โปแลนด์เคยเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมาแล้วในปี 1923 แล้วตามมาติดๆ ด้วยภาวะเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ที่เยอรมัน ซึ่งทำให้พ่อกับพี่น้องของปู่และปู่เองต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาหาร ด้วยสินค้าอื่นหรือทองคำเพราะเงินกระดาษไม่มีค่าเลย คนขายไม่ยอมรับ ทองคำได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีค่าสูงและพกพาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ ง่าย
พ่อของปู่เคยเล่าเรื่องคล้ายๆ กันที่เคยมีประสบการณ์สมัยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ก็ได้พ่อของปู่นี่หละ ที่สอนว่า ทองคำเป็นเงินตราเพียงสกุลเดียวที่ไม่มีเส้นแบ่งของประเทศ”
“แล้วกองทัพรัสเซียก็เข้ามาถึงหมู่บ้านเราใน 2 วันหลังจากนั้น มันก็โชคดีจริงๆ ที่ปู่เกิดในไซบีเรียตะวันออก และเคยเป็นนักมวยในรัสเซียมาหลายปี เพราะมันทำให้ปู่พูดภษารัสเซียได้สบายๆ และปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในช่วงปฏิวัติรัสเซียก่อนหน้านั้น ใครที่ไม่ใช่พวกมันหรือดูมีการศึกษา มีชาติตะกูลที่ดีกว่า (คงจะแบบอำมาตย์บ้านเรา) จะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ร่วมปฎิวัติรัสเซียที่โกรธแค้น ชิงชัง ขนาดไหน”
“ปู่จึงสื่อสารกับทหารรัสเซียหลายคนเพื่อหาทางออกให้กับชะตากรรมของพวกเรา แล้ว 2 สัปดาห์ถัดมา พ่อตาของปู่ซึ่งเพิ่งเกษียณจากการเป็นทหารโปแลนด์ก็ถูกจับไป เราไม่ได้พบท่านอีกแล้ว และคาดเดาได้ว่าท่านคงถูกพวกรัสเซียประหารชีวิตไปพร้อมๆ กับข้าราชการชาวโปแลนด์อีกหลายพันคน ปู่ต้องรีบให้แม่ยายอพยพออกไปทันที แล้วเราก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย”
“ฤดูหนาวมาถึงพร้อมกับความหนาวเย็นที่สุดและการขาดแคลนอาหารกับสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิต มันมาพร้อมกับข่าวว่าพวกรัสเซียจะจับคนโปลิชไปโยนทิ้งนอกแผ่นดินของเรา ในเดือนกุมภาพันธุ์ 1940 ชาวโปแลนด์ที่เป็นตำรวจ เจ้าของที่ดิน และผู้มีการศึกษามากมาย พร้อมญาติๆ โดนจับตัวไปทิ้งนอกประเทศในดินแดนที่ยากลำบาก
แล้วเรื่องนี้ก็มาถึงบ้านเราในกลางดึกที่มีทหารรัสเซีย 4 นายพร้อมอาวุธสงคราม มาเคาะประตูบ้านปู่ ปู่ต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยภาษารัสเซีย แต่พวกเขาก็สั่งให้ปู่ใส่เสื้อโค้ทและตามพวกเขาไป ปู่ก็ทำตามโดยดี และโดนซักฟอกด้วยคำถามมากมาย”
“โชคดีจริงๆ ที่ 1 ในทหาร 4 คนที่มาเอาตัวปู่ไปนั้น เป็นคนที่ปู่วิสาสะด้วยหลายครั้งในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ปู่จึงไม่โดนฆ่า และได้รับคำตัดสินว่า เนื่องจากปู่เกิดในไซบีเรีย พูดรัสเซีย และเป็นคนไม่มีการศึกษาเหมือนพวกเรา เขาจึงปล่อยให้กลับไปบ้านก่อน แล้วทหารคนนั้นก็มาจับข้อศอกปู่แล้วกระซิบว่า กลับไปหาครอบครัวซะ มาคิยง เตรียมตัวให้ดีเพราะพวกคุณจะถูกส่งไปไซบีเรียในวันหลัง”
“ปู่โกยแน่บกลับบ้านทันที แล้วขุดเอาทองคำกับเพชรนิลจินดาออกมาในช่วงค่ำ แล้วเอาเหรียญทองคำอันเล็กวางเรียงบนพื้นในรองเท้าบูธ เอาหนังปูทับอีกทีจะได้เดินไม่เจ็บ แล้วเอาเหรียญทองคำขนาดใหญ่ไปใส่ในส้นรองเท้า เหรีญทองคำกับสร้อยทองหลายเส้นที่เหลือซ่อนไว้หลายๆ ตำแหน่งในเสื้อโค้ทตัวใหญ่อย่างระมัดระวังไม่ให้ตรวจเจอได้”
“หลายวันหลังจากนั้น พวกมันมาเคาะประตูบ้านตอนตีสี่ บอกให้เราขนของและรีบอพยพไปไซบีเรียภายใน 15 นาทีเท่านั้น โชคดีที่นายทหารคนนั้นกระซิบบิกไว้ก่อน และตอนนี้บ้านเรา ที่ดินเรา ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ยังอยู่ในนั้นก็ยังกลายเป็นทรัพย์สินของพวกรัสเซียจนทุกวันนี้”
“เมียและลูกสาว 3 ขวบ กับปู่ ถูกจับใส่รถบรรทุกรวมกับคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมเดียวกัน มันพาเราไปสถานีรถไฟเพื่อส่งไปไซบีเรีย หลังจากวันนั้นพวกเราก็ไม่เคยพบพ่อแม่พี่น้องอีก และไม่เคยกลับไปเหยียบแผ่นดินโปแลนด์อีกเลย ปู่ดีใจที่มันไม่ได้ตรวจเสื้อโค้ทกับรองเท้าของปู่ เพราะทองคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซ่อนไว้มันจะช่วยให้เรารอดตายได้”
“รถไฟมาถึงในหลายชั่วโมงต่อมา พวกเราถูกจับยัดไปในขบวนตู้ขนฝูงสัตว์ ที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงไซบีเรียใน 3 สัปดาห์ และนรกมีจริง ตู้ขนฝูงสัตว์ที่แออัดแน่นเอี้ยด ไม่มีห้องน้ำ พอ 2-3 วันที พวกมันก็มาให้ขนมปังแข็งโป๊กกับน้ำนิดหน่อย หลายคนตายไปแล้ว แต่ก็แค่ถูกโยนศพทิ้งออกไปนอกหน้าต่างไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก ไม่มีสองมาตรฐาน
ปู่ร้องไห้ครั้งสุดท้ายในการเดินทางครั้งนั้นเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งคลอดเด็ก ทารกออกมา ไม่นานเด็กก็ตาย แล้วทหารก็เอาศพเด็กโยนทิ้งเหมือนเศษขยะ”
“เราถูกต้อนลงที่คาซัคสถานใกล้ชายแดนไซบีเรีย ที่นี่จะเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ของเรา เพราะชาวโปแลนด์ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเนื่องจากโดนโทษประหาร ให้หมด เราหนาวจนจะแข็งตายเพราะอุณหภูมิที่ -20 องศาเซลเซียส คนท้องถิ่น 1 ครอบครัวโดนสั่งให้รับพวกเราเข้าไปอยู่ด้วย 3-4 ครอบครัวต่อ 1 บ้าน ทั้งๆ ที่เขายากจนมาก แต่พวกคนรัสเซียท้องถิ่นเหล่านั้นก็ดีกับพวกเราเท่าที่จะทำได้ภายใต้ สถานการณ์ขณะนั้น
“ทองคำที่ปู่ซุกซ่อนมานั่นแหละที่ทำให้เรารอดมาได้ ปู่ใช้มันแลกกับที่อยู่ที่ดีขึ้น แลกเป็นเหรียญรูเบิ้ลแล้วใช้มันไปซื้ออาหารมาตุนไว้ตลอดฤดูหนาวอันทารุณ ปู่ซื้อเครื่องมือใช้สอยที่จำเป็น ใช้มันรับจ้างเลื่อยไม้ ซ่อมบันได และทำงานให้คนอื่นๆ เพื่อแลกกับเงินรูเบิ้ล หรืออาหาร
บางวันปู่ต้องออกไปทำงานโดยไม่แตะอาหารเลยเพราะต้องเก็บให้ลูกเมียได้มีประทังชีวิต
เราผ่านฤดูหนาวจนมาถึงฤดูร้อน ปู่เกือบตายเพราะมาเลเรีย และเมียปู่ก็เกือบตายจากไทฟอยด์ แต่ในเมื่อเรายังมีทองคำ เราก็เลยเข้าถึงยาได้ มันเป็นตามที่ปู่คิด คือเงิน Zloty ของโปแลนด์ไม่มีใครรับ รูเบิ้ลรัสเซียถึงจะใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรดีเท่าทองคำ”
“แล้วในปี 1941 พวกเราทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยไม่รู้เหตุผล (เยอรมันนีโจมตีรัสเซียวันที่ 22 มิถุนายน 1941 แล้วทำข้อตกลงให้ชาวโปแลนด์เป็นอิสระจากพวกรัสเซีย แต่ต้องไปเป็นทหารในเปอร์เซีย”
“ปู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารรัสเซียบอกปู่ว่า .... มาคิยง รีบพาครอบครัวไปขึ้นรถไฟด่วนที่สุดเลย ก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจ .... ปู่พาครอบครัวออกจากที่นั่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลายๆ คนที่โดนนำมาทิ้งที่นี่ล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางได้อีกแล้ว เขาเลยตัดสินใจอยู่ต่อ พอมาถึงสถานีรถไฟ ปู่ถึงรู้ว่าเขากำลังจะจัดตั้งกองกำลังโปแลนด์เพื่อส่งไปรบอีก แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายพวกเราบอกว่ารถไฟเต็มหมดแล้ว”
“ปู่จึงเดินไปหาเขาอย่างเงียบๆ และเสนอทองคำให้ 3 เหรียญทองเพื่อแลกกับที่ว่างในขบวนรถสำหรับเรา 3 คน เขาตกลง และเมื่อรถไฟมาถึง เขาค่อยๆ พาเราไปที่อีกด้านของขบวนรถ บอกกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟว่ามีคำสั่งพิเศษให้พาพวกนี้ 3 คนขึ้นไป เราจึงรอดพ้นจากคาซัคสถานมาได้ และอยู่ในกลุ่มชาวโปแลนด์หลายพันคนที่ยินดีจะจากคาซัคสถานเพื่อลงใต้อย่าง เร่งด่วนแล้วไปเข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์ที่เปอร์เซีย
“เราข้ามทะเลแคสเปียนด้วยเรือ มาถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นพวกแรกๆ ซึ่งเป็นโชคดีจริงๆ เพราะพวกที่มาทีหลังต้องเดินเรือถอยกลับไปรัสเซียมหาโหดอีกครั้ง เนื่องจากโควต้ากองทัพเต็มแล้ว พวกเราได้รับการต้อนรับจากชาวเปอร์เซียอย่างอบอุ่น เขารักษาพยาบาลพวกเราจนฟื้นฟูเป็นปกติ ให้เราไปอยู่ในบ้านเขา ปู่พบว่าชาวเปอร์เซียเป็นคนใจดีมีเมตตาที่สุดในโลก
“ปู่เข้าร่วมในกองทัพของนายพล Anders ชีวิตเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว ลูกเมียถูกส่งไปอยู่ที่อินเดียเพื่อความปลอดภัย ปู่ไม่ได้พบพวกเขาเลยตลอด 6 ปีในกองทัพ ไม่รู้กันเลยว่าใครจะเป็นอย่างไรกันบ้าง อยู่หรือตายก็ไม่รู้
“ปู่รบในอาฟริกาและอิตาลี และทำวีรกรรมไว้ที่ Monte Cassino ไม่เคยเจอเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แล้วเราก็ตัดสินใจเข้าตีเมือง Abbey ที่เยอรมันยึดไว้ ปู่ภูมิใจเหลือเกินที่เป็นชาวโปลิช ได้เข้าร่วมในกองทัพโปแลนด์ที่กล้าหาญและเก่งกาจที่สุดในวันนั้น”
“สงครามสิ้นสุด แล้วปู่ก็ตามไปค้นพบลูกเมียที่อินเดีย ซึ่งด้วยเหตุที่พวกเธออยู่อินเดียจึงทำให้พวกเธอต้องถูกส่งกลับไปอยู่ใกล้ๆ ลอนดอน ปู่จะตามไปเมื่อจบภาระกิจในกองทัพ แล้วปู่ก็ทำได้ใน 2 ปีถัดมา มันมหัศจรรย์ที่สุด และขอบคุณ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ไม่ยอมให้ใครผลักดันพวกเราชาวโปลิชออกไปไหนโดยไม่เต็มใจอีกแล้ว พี่น้องผู้ชายของปู่ทุกคนตายในสงครามป้องกันโปแลนด์จนหมดสิ้น
หากปู่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากพ่อเรื่องเงินเฟ้อ สงคราม กับคุณค่าของทองคำ เราคงไม่รอด
ปู่และลูกเมียเป็นหนี้ชีวิตต่อเหรียญและสร้อยคอทองคำเพียงหนึ่งกำมือ แล้วหลายวันก่อนที่พวกเราจะอพยพจากอังกฤษเพื่อไปอยู่ออสเตรเลียตามความต้อง การของเราเอง ปู่ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า ... มาคิยง เรามีที่ว่างให้พวกคุณในอเมริกา สนใจป่ะ ...
ปู่บอกว่า... เอาสิ .. เขาตอบว่ามาเลย เร็วที่สุด ... ปู่วิ่งเต็มสปีดไปตลอดทางเลย แล้วเราก็เลยได้มีชีวิตที่ดีที่สุดในอเมริกา”
หมายเหตุ : Victoria Szablicki ภริยาของ มาคิยง เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2011 หลังจากนั้น 11 วัน ปู่มาคิยง ของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ก็เสียชีวิตตามไปในวัย 100 ปี หลังจากได้รับเหรียญกล้าหาญอันสุดท้ายที่ทรงเกียรติยิ่งจากรัฐบาลโปแลนด์ คือ Siberian Cross ไปในวัย 98 ปี เขาทั้งสองคนมีชีวิตสมรสร่วมกันยาวนานถึง 76 ปี
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น