ต้มยำกุ้ง ภาค 3" ..... หนังที่จา พนม ไม่ได้ร่วมแสดง ลงโรงเมื่อ...6 กค. 2556
ต้มยำกุ้ง ภาค 3" ..... หนังที่จา พนม ไม่ได้ร่วมแสดง
ลงโรงเมื่อ...6 กค. 2556
เมื่อวานซืนฉายตอนสอง คนมาshare มา like เหลือ600 จากตอนแรก 1400 แต่คิดดูยังน่าคุ้มทุน เลยตัดสินใจถ่ายทำภาค 3 (ถ้าลดตำ่กว่า500 ก็คงต้องลาโรง เดี๋ยวเจ๊งเหมือนหนังท่านมุ้ย)
ตอนนี้น่าจะวิชาการหน่อยนะครับ เพราะจะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหา ของเหล่าพระเอกทั้งหลายที่มาร่ว มชุมนุมกัน ใช้เวลาร่วม 2 ปีกว่าจะตั้งหลักเดินได้อีก
ผมและดร.ศุภวุฒิ ค่อนข้างโชคดีที่มีโอกาสรับรู้ค ่อนข้างใกล้ชิดในระดับ ริงไซด์ (ไม่ได้เพื่อเอาอินไซด์ไปหาประโ ยชน์อะไรนะ...ดักคอพวกจิตอกุศลไ ว้ก่อน) เพราะเราทำวิเคราะห์ วิจัยไว้เยอะ ตั้งแต่ก่อนวิกฤต มีข้อมูลที่ทางการไม่มีอยู่เยอะ แค่ปลายปี96 เราก็ค่อนข้างฟันธงว่าประเทศไทย น่าจะกำลังเดินหน้าเข้าสู่วิกฤต ิการเงิน ถึงจะมีความหวังบ้างว่าอาจจะมี soft landing (คำเพราะที่ไม่เคยเห็นมีใครทำได ้สำเร็จ....รอ
ดูจีนละกัน) แต่ก็ดูริบหรี่ เพราะการกัดลูกปืน(bite the
bullets)ก่อนเกิดฉิบหาย ไม่เป็นที่นิยมของชาวประชา
ไม่เคยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือก ตั้งไหนทำได้(จีนถึงมีหวังไง)
ฝ่ายวิจัยของภัทรฯ ทำเปเปอร์เรื่องนี้ไว้เยอะตั้งแ ต่ปลายปี96 อ.เปี๋ยมถึงกับแวะไป World Bank ที่DC เพื่อหาข้อมูลบทเรียนของวิกฤติท ี่เกิดก่อนเรา เช่น Mexico Sweden เราค่อนข้างมั่นใจว่า ค่าเงิน เอาไม่อยู่ แล้วสถาบันการเงินก็จะต้องมีปัญ หาแน่(ตอนที่แล้วเล่าถึงงานวิเค ราะห์ของคุณธีรพงศ์ วชิรพงษ์แล้ว ) น่าเสียดายที่เราตัดสินใจไม่เผย แพร่บทความ อย่างกว้างขวาง เพราะกลัวว่าท่านๆจะหาว่ามาทำลา ยความมั่นใจของมหาชน ที่พวกท่านกำลังสร้างกันอยู่ แล้วพอเกิดวิกฤติก็คงถูกใส่เกลี ยวเขาให้เป็นแพะ เป็นตัวการ ถูกรุมกระทืบตามธรรมเนียมสังคมไ ทย เหมือนพวกวิจารณ์เรื่องข้าวเน่า ข้าวเสีย ที่ทำให้ข้าวไทยขายไม่ออกไง(อ้า ว...แวะไปอีกและ ไอ้เตา)
เราได้เอาเปเปอร์ของเราไปนำเสนอ ให้
กับ ลูกค้าสำคัญหลายคน รวมทั้งทางการ ทั้งคลังทั้งแบงค์ชาติ
ซึ่งบ้างก็เชื่อบ้างก็ไม่เชื่อ เพราะคนอื่นๆ โหรศก.ที่มีชื่อเสียงสุดยอด
ท่านก็ต่างยืนยันว่าไม่น่าห่วง เรายังโชติช่วงอยู่
โดยเฉพาะทางการประสารเสียงเดียว กัน
ว่า"รู้แล้ว กำลังแก้อยู่ พวกมึงหุบปากได้ไหม อย่าโวยวายไป"
สำหรับลูกค้าที่เชื่อ ก็ปิดposition เงินกู้ตปท. หรืออาจสร้างposition
ตรงข้ามบ้าง ทำให้ไม่เจ็บหนัก แก้ไม่ยากภายหลัง และแน่นอน
เราต้องเสนอต่อบ.ชินคอร์ป ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญที่สุดรายหน ึ่งตลอดมา ดร.ทักษิณ ท่านเห็นด้วยกับงานวิเคราะห์ของ เรา ทำให้ไม่มีความเสียหายจากค่าเงิ นเลย ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านไ ด้อินไซด์จากดร.ทนง ก่อน
ลดค่าเงิน ไม่น่าจะมีมูลความจริง เพราะท่านclear positionตั้งแต่ต้นปี ก่อนวิกฤติตั้งนาน ท่านเชื่อเราต่างหาก
ที่น่าเจ็บใจ น่าเขกกระบาล สุดแรงก็คือตัวเราเอง ทำเป็นแสนรู้ขนาดนี้ ปิดpositionเงินกู้ตปท. แต่เราก็ยังคาดการณ์ความรุนแรงข องวิกฤติ
ผิดไปเยอะ เพราะบงล.ภัทรธนกิจ ทำเพียงแค่หยุดการเติบโต ผมไม่สามารถ
convince ให้หดตัวอย่างรวดเร็วรุนแรงได้ เราถึงต้องปิดตัวเองลงในปลายปี 42
(ยื้อต่อได้แค่ 2 ปีเศษ)
พอเกิดวิกฤติ เราก็เลยได้มีโอกาสร่วมให้ข้อมู ลความเห็นกับทุกท่านที่เกี่ยวข้ อง ได้พบพูดคุยกับ ทีมIMF World Bank ADB คุณKerrigan(อดีตประธาน FED NY ที่ปรึกษาคุณธารินทร์) แม้กระทั่งKrugmanผู้โด่งดังจาก วิกฤตินี้ แวะมาเมืองไทยยังแวะคุยกับเรา ส่วนทางการเราก็ได้ร่วมให้ข้อมู ลรวมทั้งเสนอมาตรการต่างๆที่เรา คิดว่าเป็นประโยชน์ ทั้งที่ถามมา หรือเราเสนอหน้าเอง(ก็รักชาติ อยากช่วยชาตินี่ครับ) ส่วนใหญ่ก็เป็นดร.ศุภวุฒิแหละคร ับ ผมคอยติดตามเพราะสอดรู้สอดเห็น และขอยืนยันว่าเราไม่เคยได้รับข ้อมูลที่ไม่สมควรเป็นการตอบแทนใ ดๆเลย
เล่าเบื้องหลังการถ่ายทำเสียยืด ยาวขอกลับเข้าสู่ฉากหลักครับ
พอเปลี่ยนรัฐบาลเพราะแกงค์งูเห่ า
ลงนามLOI ฉบับที่2 เมื่อ 25 พย.40 ทางIMF ก็ส่งทีมrescue
นำโดยพระเอกหัวเกรียน Hubert Neiss มาประจำประเทศไทย ร่วมกับรัฐแก้ปัญหา
ซึ่งแน่นอนที่สุด ระยะแรกจะต้องหยุดยั้งความระสำ่ ระสาย สร้างเสถียรภาพให้เกิดให้ได้ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุ และเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐ กิจอยู่
วิกฤตครั้งนั้นเป็นวิกฤตภาคเอกช น ซึ่งกู้หนี้ยืมสินระยะสั้นจากตป ท. มาลงทุน แล้วไม่มีผลผลิตออกมาให้คุ้มกับ ที่
ลง พอเขาขอเงินคืนก็เลยควำ่ (ไม่เหมือนภาครัฐนะครับ เจ๊งแค่ไหนก็ยื้อต่อได้
เช่น Airport Link, Elite Card เงินภาษีซะอย่าง. ไอ้เตา...ไปอีกละ
กลับม้าาา) ทีนี้พอลดค่าเงินก็เลยเจ๊งลึกให ญ่
เพราะกู้เขามา 100,000ล้านเหรียญ ตอนกู้ได้บาท 2.5ล้านๆ แต่พอเขาขอคืนที่
50 บาทต่อเหรียญ ต้องคืน 5 ล้านๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องชักดาบ ไม่มีคืน
ถ้าเป็นเอกชนก็พักหนี้ เจรจากันไป แต่ถ้าเป็นสถาบันการเงินเบี้ยวไ ม่ได้
ระบบล่ม รัฐจึงต้องเข้าช่วย เข้าคำ้ ต่อท่ออัดเงินเข้าไปตลอด
เงินสำรองก็เหี้ยน เลยต้องไปแปะIMFไงครับ (มาเลย์โชคดี
ที่ควำ่โดยยังไม่โดนโจมตี ไม่ทันได้สู้ สำรองไม่ร่อยหรอ คุณพี่มหาเด่ย์
เลยทำเท่ห์ได้ ไม่ต้องพึ่ง แถมด่า IMF ทุกวัน ใช้ ้Capital Control
แก้ปัญหาแทน แถมโชคดีนำ้มันขึ้น เลยฟื้นเร็ว ขืนเราทำตามเละหยังเขียดแน่
ไม่รู้ป่านนี้ฟื้นหรือยัง)
ถึงจะทำงานกันอย่างหนัก แต่กว่าจะสร้างเสถียรภาพได้ก็ล่ วง
ไปไตรมาส ๒ ปี41 ค่าเงินเริ่มขึ้นจาก 55บาทต่อเหรียญ มาอยู่แถวสี่สิบต้นๆ
แล้วก็เริ่มดุลยภาพแถวนั้น ไม่ผันผวนมากอีกร่วมสิบปี
ก่อนจะค่อยๆแข็งขึ้นมาให้ผู้ส่ง ออกที่ไม่เคยคิดจะปรับปรุงผลิตภ าพร้องโอ๊กอยู่ทุกวันนี้.
จากนี้จะขอเล่าการแก้ปัญหาเป็นเ รื่องๆ ไม่เล่าตามtime line แล้วนะครับ
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือเรื่องระบบสถาบันการเงิน ตอนเกิดวิกฤต มีเงินให้กู้ทั้งระบบ อยู่ประมาณ 6 ล้านๆบาท ซึ่งโดยเฉลี่ย สถาบันการเงินจะมีเงินกองทุนอยู ่ประ
มาณ 12% คือ 700,000ล้าน สุดท้ายNPL เราไปหยุดที่เฉลี่ย 45% คือ2.7
ล้านๆบาท โดยทั่วไปในวิกฤติเศรษฐกิจ NPL recovery rate อย่างเก่งก็ได้ 55%
(สวีเดน ส่วนเม็กซิโกได้แค่สี่สิบกว่าๆเ อง) คือจะเสียหายครึ่งหนึ่งซึ่งก็คื อ 1.35ล้านๆ ซึ่งมากกว่าเงินกองทุนอยู่ 650,000 ล้าน ซึ่งโดยหลักรัฐที่เป็นผู้คำ้ประ กันเงินฝากและหนี้สิน จะต้องรับภาระส่วนนี้ (นี่ประเมินคร่าวๆนะครับ เพราะจริงๆรัฐเสียหายรวมจากการแ ก้ปัญหาสถาบันการเงิน 1.4ล้านๆบาท จากกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่รวมดอกเบี้ย อาจได้คืนบ้างจากทรัพย์สินที่มี อยู่...ธปท.น่าจะประกาศบ้างเป็น ระยะนะครับ เหมือนที่เรียกร้องให้เค้าประกา ศเรื่องข้าวน่ะครับ) และไม่มีสถาบันการเงินไทยไหนเลย ที่
มี NPL ตำ่กว่า 40% และมีเงินกองทุนเกิน 15% สรุปได้ว่า
ทุกแห่งมีเงินทุนติดลบ ซึ่งแปลว่า ในที่สุดจะเจ๊งเรียบ
รัฐซึ่งเป็นผู้คำ้จะต้องเข้ายึด เป็นของรัฐหมด
เรื่องความเสียหายเป็นเรื่องหนึ ่ง แต่การที่จะต้องมีระบบการเงินที ่มีประสิทธิภาพเพื่อหล่อเลี้ยงร ะบบศก.สำคัญกว่า และถ้าทุกธนาคารเป็นของรัฐทั้งห มด
ลองนึกภาพว่า เรามีแต่ธนาคารอิสลาม ธนาคารSMEs อาคารสงเคราะห์ ออมสิน
สิครับ มันเป็นที่ยอมรับทั่วโลก แล้วว่าถ้ารัฐทำ ไม่ห่วย ก็เ-ี้ย
หรือของขาด ทีนี้เลยเป็นโจทย์ใหญ่แสนยากของ คลัง ธปท. และIMF ว่าทำอย่างไรจึงจะให้ระบบคงอยู่ และยังเป็นของเอกชนในสัดส่วนที่ สูง โดยที่จะต้องไม่เข้าไปอุ้มผู้ถื อหุ้น หรือผู้บริหาร อย่างไม่สมควร ซึ่งพระเอกของเราทำได้สำเร็จ เป็นเรื่องของฝีมือ เก่ง บวกด้วยเฮงด้วยอีกนิดหน่อย ขอขยายให้ฟัง
- ขั้นแรกถึงจะเจ๊งหมด ก็ต้องแกล้งบอกว่ายังไม่เจ๊งก่อ น เพราะไหนๆรัฐก็คำ้แล้ว วิธีการก็คือ แทนที่จะให้บันทึกความเสียหายทั ้งหมด
ในคราวเดียว ก็ยอมว่า ถ้าหนี้ค้างยังไม่ถึง12เดือน
ก็ถือว่ายังไม่เสียมาก(แค่ตุๆ) ไม่ต้องตั้งสำรองเต็มที่
แถมการตั้งสำรองก็ให้เวลาตั้งสา มปีห้าปี มาตรฐานBIS ยกเว้นให้ก่อน ซึ่งเป็นการซื้อเวลา ให้ไปแก้คุณภาพสินทรัพย์ทางหนึ่ ง กับให้ไปหาเงินมาเพิ่มทุนที่ติด ลบอีกทางหนึ่ง (ดูเผินๆคล้ายโครงการจำนำข้าวที ่บอกว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน เพียงแต่วัตถุประสงค์ ความโปร่งใส ชัดเจนกว่าเยอะ)
- กระนั้นก็ตาม ถ้าธนาคารไหนไม่สามารถสร้างความ มั่นใจให้ผู้ฝากเงิน และผู้ให้กู้ได้ ต้องใช้เงินช่วยที่ ธปท.ต่อท่อให้เกินระดับทำให้ท่อ แทบแตก รัฐก็จะเข้าควบคุม และยึดเป็นของรัฐ รวมทั้งหลังจากให้เวลาแล้วถ้าใค รยังแก้ไขเงินกองทุนไม่ได้ก็ถูก ยึด ถูกยุบ ถูกรวม เหมือนกัน จึงจะเห็นได้ว่า ในที่สุด กว่าครึ่งก็ค่อยๆเดินพาเหรดมามอ บตัวเป็นของรัฐ เช่น ธ.ศรีนคร นครหลวงไทย นครธน มหานคร แหลมทอง สหธนาคาร รัตนสิน กรุงเทพพาณิชย์ ฯลฯ เป็นเครื่องยืนยันว่าเงินกองทุน ติดลบจนเกินกว่ามูลค่าของ license หรือ franchise value ใดๆ (เดี๋ยวนี้มีค่าเป็นหมื่นล้านบา ท)เลยไม่มีใครใส่ทุนให้
- ทีนี้ก็มีเรื่องโชคช่วยบ้าง ปลายไตรมาสแรกของปี41 ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวคึกคักขึ้ นมา เพราะนักลงทุนเริ่มมั่นใจในแนวท างแก้ไข และเห็เสถียรภาพเริ่มกลับมา ธนาคารกสิกรไทยก็ริเริ่มรีบออกห ุ้นเพิ่มทุน (ซึ่งที่ทำได้เร็ว ก็เพราะที่ปรึกษาเก่งอ่ะ คือ ภัทร กับ Goldman Sachs ) ผมยังจำได้ถึงความยากลำบากในการ ขายหุ้นครั้งนั้น เพราะเป็นการขายหุ้นแรกจากประเท ศที่เกิดวิกฤติ ผมร่วมเดินทางรอบโลกไปRoadshow (อ้อนวอนให้เขาซื้อ)กับคุณปั้น( คุณ
บัณฑูรย์ ลำ่ซำ) ไปจนค่อนโลกแล้ว ยังไม่มีใครยอมจองเลย แถม
ธ.กรุงเทพฯรีบประกาศ ทำบ้าง กว่าจะขายได้หมด เลือดตาแทบกระเด็น
นำ้ลายแห้งเหือดไปหลายเดือน meeting หลายร้อยครั้ง
(ลองนึกถึงคุณปั้นที่ต้องพูดมาก กว่าผมอีก 5 เท่า แถมเป็นคนไม่พูดมาก ขนาดผมชอบพล่ามทั้งวันยังเสร็จเ ลย) การขายหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำนวน 376 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 88 บาทได้เงิน 33,088 ล้านบาท(ตัวเลขพวกนี้จำได้ขึ้นใ จ ไม่ต้องค้นเลยครับ ผมเชื่อว่าคุณปั้นก็จำได้เหมือน กัน) ตามด้วยการขายหุ้นแบงค์กรุงเทพ อีก43,000 ล้านในเดือนถัดมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิ กฤติ แล้วหลังจากนั้นตลาดหุ้นก็รูดม่ านปิดสนิทอีกเป็นปี กว่าจะมีใครขายหุ้นได้อีก
- ส่วนธนาคารที่เหลือที่ตกรถไฟ ก็มีอาการพะงาบๆต่ออีกพัก จนรัฐต้องออกมาตรการ 14 สค. 2541 เพื่อช่วยเพิ่มทุนให้แบบวัดครึ่ ง
กรรมการครึ่ง แต่กว่าจะเพิ่มได้จริงก็ข้ามปี เช่น ไทยพาณิชย์
ที่มีคุณชุมพล ณ ลำเลียง (พระเอกคนที่5) เข้ามาช่วยฟื้นฟู
หลังจากที่ท่านเอาปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งก็เซแซ่ดไปเหมือนกัน ตั้งหลักได้ดีแล้ว ก็เพิ่มทุนทีเดียว 65,000ล้าน ในเดือนพค.42 แต่ก็เลยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ ่สุด จนกระทั่งทรัพย์สินฯ ต้องเอาที่ดินโรงพยาบาลรามาธิบด ีไป
แลกกลับมาในภายหลัง ธนาคารอื่น เช่น ทหารไทย กรุงศรี ก็ทะยอยเพิ่มทุนได้
จนระบบเริ่มมีเสถียรภาพ โดยยังคงมี ธนาคารเอกชนเป็นหลักอยู่สี่ห้าแ ห่ง
- แต่อย่างไรก็ดี ระบบธนาคารก็ยังคงไม่ยอมขยายตัว มัวแต่ซ่อมแซม แต่งตัว เข็ดขี้อ่อน ขี้แก่ ทำให้ศก.ไม่ค่อยขยาย ตัวจนกระทั่งสมัยรัฐบาลท่านทักษ ิน ที่ใช้ธนาคารกรุงไทยที่มีคุณวิโ รจน์ นวลแข เข้ามาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวแบบไอ เวนโฮ (ถ้าใครจำโฆษณาได้) ลุยปล่อยสินื่อนำร่องจนทุกแบงค์ ต้องลุกออกมาจากกระดองเพื่อแข่ง ขันบ้าง
วันนี้ว่าเรื่องแก้สถาบันการเงิ นแค่ฉากเดียวก็ยาวลาก คนดูหลับไปครึ่งโรง แถมผอ.สร้างไม่ได้ทำอะไรมาครึ่ง วันแล้ว สงสัยต้องยกไปภาคต่ออีก น่ากลัวพรุ่งนี้ก็ยังจบไม่ลง เดิมทีตั้งใจจะเขียนสั้นๆระลึกถ ึง 2 กค.40 เท่านั้น ไหงไถลมาได้ตั้งหลายวันก็ไม่รู้ ยิ่งเล่ายิ่งมัน(คนเล่า)
แต่เอาเถอะครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงมีคนอ่านแค่ สิบคน ก็จะเขียนต่อให้จบ เพราะเป็นประสบการณ์ ช่วงที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งของ ชีวิตผม ตั้งใจจะเขียนบันทึกกันลืมไว้ตั ้งนาน
แล้ว ไม่ได้เริ่มซะที เพิ่งจะมีคนหลอกให้เล่นfb มาสองเดือน
เลยยิ่งเขียนยิ่งมัน เพราะมีคนคอยคุยด้วยตลอดเวลา
อ่านแล้ามาเมนต์มาคุยกันบ้างนะค รับ ด่าทอมาบ้างก็ได้ ถ้าพบตรงไหนไม่เข้าท่า เจอกันพรุ่งนี้ครับ
ลงโรงเมื่อ...6 กค. 2556
เมื่อวานซืนฉายตอนสอง คนมาshare มา like เหลือ600 จากตอนแรก 1400 แต่คิดดูยังน่าคุ้มทุน เลยตัดสินใจถ่ายทำภาค 3 (ถ้าลดตำ่กว่า500 ก็คงต้องลาโรง เดี๋ยวเจ๊งเหมือนหนังท่านมุ้ย)
ตอนนี้น่าจะวิชาการหน่อยนะครับ เพราะจะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหา
ผมและดร.ศุภวุฒิ ค่อนข้างโชคดีที่มีโอกาสรับรู้ค
ฝ่ายวิจัยของภัทรฯ ทำเปเปอร์เรื่องนี้ไว้เยอะตั้งแ
เราได้เอาเปเปอร์ของเราไปนำเสนอ
ลดค่าเงิน ไม่น่าจะมีมูลความจริง เพราะท่านclear positionตั้งแต่ต้นปี ก่อนวิกฤติตั้งนาน ท่านเชื่อเราต่างหาก
ที่น่าเจ็บใจ น่าเขกกระบาล สุดแรงก็คือตัวเราเอง ทำเป็นแสนรู้ขนาดนี้ ปิดpositionเงินกู้ตปท. แต่เราก็ยังคาดการณ์ความรุนแรงข
พอเกิดวิกฤติ เราก็เลยได้มีโอกาสร่วมให้ข้อมู
เล่าเบื้องหลังการถ่ายทำเสียยืด
พอเปลี่ยนรัฐบาลเพราะแกงค์งูเห่
วิกฤตครั้งนั้นเป็นวิกฤตภาคเอกช
ถึงจะทำงานกันอย่างหนัก แต่กว่าจะสร้างเสถียรภาพได้ก็ล่
จากนี้จะขอเล่าการแก้ปัญหาเป็นเ
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด คือเรื่องระบบสถาบันการเงิน ตอนเกิดวิกฤต มีเงินให้กู้ทั้งระบบ อยู่ประมาณ 6 ล้านๆบาท ซึ่งโดยเฉลี่ย สถาบันการเงินจะมีเงินกองทุนอยู
เรื่องความเสียหายเป็นเรื่องหนึ
- ขั้นแรกถึงจะเจ๊งหมด ก็ต้องแกล้งบอกว่ายังไม่เจ๊งก่อ
- กระนั้นก็ตาม ถ้าธนาคารไหนไม่สามารถสร้างความ
- ทีนี้ก็มีเรื่องโชคช่วยบ้าง ปลายไตรมาสแรกของปี41 ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวคึกคักขึ้
- ส่วนธนาคารที่เหลือที่ตกรถไฟ ก็มีอาการพะงาบๆต่ออีกพัก จนรัฐต้องออกมาตรการ 14 สค. 2541 เพื่อช่วยเพิ่มทุนให้แบบวัดครึ่
- แต่อย่างไรก็ดี ระบบธนาคารก็ยังคงไม่ยอมขยายตัว
วันนี้ว่าเรื่องแก้สถาบันการเงิ
แต่เอาเถอะครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงมีคนอ่านแค่ สิบคน ก็จะเขียนต่อให้จบ เพราะเป็นประสบการณ์ ช่วงที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งของ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น