2 กรกฎาคม 2556... 16 ปีแห่งความหลังงงงงง

2 กรกฎาคม 2556... 16 ปีแห่งความหลังงงงงง
โดย คุณ
Banyong Pongpanich

วันนี้ตื่นแต่เช้าตรู่ สิ่งแรกที่นึกถึง ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ของ16 ปีที่แล้ว..เป็นอันว่าได้เล่าเรื่องเก่าอีกวัน(สงสัยจะแก่จริง)

2 กค. 2540 ผมถูกโทรศัพท์ปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง โดยอาจารย์เปี๋ยม(ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ)โทรมาบอกว่า แบงค์ชาติปลุกCEO ธนาคารทุกคนให้ไปประชุมตอน 7 โมงเช้า น่าจะมีการลดค่าเงิน ปรากฎว่าอ.เปี๋ยมคาดผิดไปนิดหนึ่ง เขาไม่ได้ลดค่าเงิน แต่เขาลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งมันก็ลอยลง ลอยลง อย่างรวดเร็ว จาก 25 บาทต่อUS$ เป็น 40เป็น 50 ไปโน่นเลย

นั่นเป็นฉากเริ่มต้นของหนังยาวที่ชาว ไทยจำได้ดี เพราะเป็นหนังที่รวบรวมทั้ง drama, thriller, adventure, โศกเศร้ารันทด, สยองขวัญ ครบทุกรสชาด(ยกเว้น comedy เพราะขำไม่ออกเลยจริงๆ)

16 ปีผ่านไป เรามาย้อนดูอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้น...ใครกันวะ(ที่ไม่ใช่กู) ทำให้มันชิบหาย

หลายคนโทษพ่อมดการเงิน คุณพี่Soros และชาวคณะ hedgefund ที่ทะยอยโจมตีค่าเงินบาทหลายระลอก... หลายคนโทษธปท.ที่ต่อสู้ยิบตาจนหมดหน้าตัก... บางคนไพล่ไปโทษจีน ที่บิ๊กจิ๋วส่งคนไปขอยืมแค่หมื่นล้านเหรียญแล้วไม่ให้... มีแม้กระทั่งมาโทษผมว่าเป็นที่ปรึกษาควบรวม"ไทยทนุ-ฟินวัน"แล้วไม่สำเร็จ ฯลฯ เวลาผ่านไป เรามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำกันวะ เราเรียนรู้อะไร

ทั้งหมดต่อจากนี้เป็นการวิเคระห์ของผมและทีมภัทรฯ เชื่อไม่เชื่อพิจารณากันเองนะครับ

"วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 มีสาเหตุจากปัญหาการลงทุนผิดพลาดอย่างกว้างขวางทั่วไป ในระบบศก.ไทย ในภาคเอกชน โดยใช้แหล่งเงินทุนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมากว่า5 ปี (1991-1996)"

ความจริงเรื่องวิกฤตศก.นี้ ผมเล่ามาหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ จนแทบจะเป็นจุดขาย หลักอันหนึ่งของผม (หาอ่านได้ในหลายที่ เช่น Thai Publica) แต่วันนี้จะลองไล่ในversionใหม่ โดยมุ่งประเด็นว่า ใครทำ ใครผิด

- มันต้องเริ่มไปโทษโน่นเลยครับ คุณปู่Reagan กับ คุณป้าThatcher ที่ริเริ่ม deregulation ใ่นช่วงต้นทศวรรษ 1980's ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เป็นจุดเริ่มต้นของ Globalization

- แล้วคุณปู่Reaganก็ทำผิดซำ้ซ้อน เพราะไป force ให้เกิด Plaza Accord ในปี 1985 ทำให้ พี่ยุ่นถูกบีบให้ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพราะค่าเงินเย็น แข็งพรวดพราดจาก 300 มาเป็น 100 เยน ต่อเหรียญ

- ทีนี้ก็มาถึงคิวของป๋าเปรม กับ ปู่สมหมาย ที่ดันทำให้ประเทศมีเสถียรภาพทั้งการ เมือง การคลัง แถมเกิดซวย พบแก๊ซธรรมชาติอีกเยอะแยะ แล้วอ.เสนาะ อุณากูล ก็ดันผลักดันโครงการ Eastern Seaboardได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อซะอีก พี่ยุ่นก็เลยทะลัก ย้ายฐานการผลิตเข้าไทยอย่างไม่บันยะบันยัง(ไม่ยักกะบันยง) จนเกิดยุค "โชติช่วงชัชวาล"ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ (1986-1990)

- ไอ้พวกนักลงทุนสถาบันต่างชาติก็แย่ ตลาดหุ้นเราซบเซา เงียบสงบอยู่ดีๆมาได้ 7ปี หลังยุคราชาเงินทุน หุ้นราคาก็ดี P/E 3-4 ดันเข้ามาแย่งซื้อ หุ้นขึ้นอื้อ 60-70%ต่อปี ตลาดไทยเลยกลายเป็นแถวหน้าของEmerging market ในช่วง1986-1991

- พวกเจ้าประคุณนักลงทุนไทยก็ช่างโลภมาก ลงแชร์แม่ชม้อย แม่นกแก้ว Charter อยู่ดีๆ ดันย้ายแห่ตามมาลงตลาดหุ้น จนแชร์แม่ๆลูกโซ่ขาด ล้มระนาวเดือดร้อนกันไปทั่ว

- ทางการไทยก็ห่วย ดันไปจัดตั้ง กลต. ขึ้นในปี 1992 ทำให้เกิดความคาดหวังว่าระดับมาตรฐานตลาด บรรษัทภิบาล กฎเกณฑ์ต่างๆ จะถูกพัฒนาจนได้มาตรฐานสากล ไอ้พวกฝรั่งเลยเกิดความมั่นใจ แห่ทะลักเพิ่มอีกหลายเท่าทวีคูณ

- ทีนี้ไอ้เงินท่วมโลกพยายามจะเข้าไทยที่เนื้อหอมสุดๆ ทำได้ไม่ค่อยสะดวก เพราะควบคุมจุกจิก รัฐบาลท่านชวน-ธารินทร์ ก็เลยผลิตนวัตกรรมสุดสร้างสรรค์ BIBFขึ้นในปี1993 นัยว่าเพื่อเป็นไปตามกระแสเปิดเสรี เงินให้กู้(ส่วนใหญ่ระยะสั้น) ก็เลยไหลทะลักเข้าไทยอย่างล้นหลาม(โดยไม่ต้องพึ่ง QE) ไอ้พวกนายธนาคารระดับโลกโง่ๆก็แย่งกันมาให้กู้ จนศิริรวมได้เกือบ หนึ่งแสนล้านเหรียญ ในปี1996 (เกือบเท่าGDPตอนนัื้น)

- ไอ้ตลาดหุ้นตัวร้ายก็ดันขยันสุดๆ ระดมทุนให้บริษัทไทยลงทุนได้มากมาย ตลาดแรกระดมได้ถึง เกือบล้านล้านบาท เลยเกิดเจ้าสัวไทยขึ้นอย่างมากมาย มีการลงทุนทุกหัวระแหง แทนที่จะต้องรอแต่ฝรั่ง ญี่ปุ่น นายแบงค์ ปูนฯ อย่างแต่ก่อน

- ไอ้เตา กับพวกภัทรนั่นแหละตัวดี ดัน underwriteหุ้นออกมาได้ตั้งเกือบ 500,000 ล้านบาท ในช่วง 1987-1996 แถมคุยโม้ว่าทำประโยชน์ ทั้งๆที่ไอ้ 500,000ล้านนั้น มีค่าเหลือแค่ หนึ่งในสาม หลังเกิดวิกฤต. (ถ้าถามว่าใครมีส่วนร่วมทำให้เกิดวิกฤตบ้าง ผมก็จะยกมือสุดแขน ถามว่ามีส่วนพลาดไหม ยอมรับว่ามาก แต่ถ้าถามว่าทำชั่ว คิดชั่วไหม เถียงกันจนตายก็ไม่ยอมรับ)

- ความจริงใ่นช่วงประมาณ1992-1993 ธปท.เคยเป็นห่วง เรื่องoverheat ของ ศก. ถึงกับออกมาตรการจำกัดการขยายตัวของ สินเชื่อ (สมัยคุณวิจิตร) แต่แป๊บเดียว ก็ถูกนักการเมืองขู่ฟ่อ เพราะทำให้ศก.ชะลอตัว ไม่เติบโตเท่าที่คุยไว้ ก็เลยรีบถอนมาตรการแทบไม่ทัน เพราะกลัวโดนปลดเหมือนผู้ว่ากำจร สถิรกุล ที่บ้าหลักการไม่รู้จักลู่ลม

- ตลาดหลักทรัพย์ก็กลัวไม่มีสินค้า อนุญาติให้อุตสาหกรรมพื้นฐานเข้าตลาดได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เป็นแค่กระดาษ แผนการเท่านั้น เช่น เหล็ก ทองแดง ฯลฯ พวกนี้เป็น NPL 100% ในภายหลัง

- เศรษฐกิจไทยก็เลยติดเทอร์โบ บูมสุดขีดในช่วง 1987-1995 อัตราเติบโต เฉลี่ยร่วม สิบเปอร์เซนต์ ทุกคนร่าเริงแจ่มใส ชี้นกเป็นเงิน ชี้ไม้เป็นทอง ทำอะไรก็กำไร ได้เงินง่ายๆ

- ความจริงตัวเตือนก็ค่อนข้างชัด current account ของเราติดลบ 7-8% (แปลว่าใช้มากกว่าสร้าง) ต่อเนื่องมาหลายปี แต่ก็ถูกfinanceด้วย เงินกู้กับเงินซื้อหุ้น อย่างที่บอกแหละครับ แล้วนักศศ.ระดับอาจารย์ ระดับโหรฯ อีกหลายท่านก็ออกมานั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะเราเอามาลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องดี พอผลผลิตออก เราก็จะมั่งคั่ง คืนเขาแล้วยังจะเหลือเยอะ ถึงเวลาพ้นกับดักการพัฒนาเสียที เอ้าเฮ...ลงทุนเข้าไป

- ทีนี้พอครึ่งหลังปี1996 อาการชักออก ภัทรฯ(โดยคุณธีรพงษ์ วชิรพงษ์) ทำวิเคราะห์พบว่า บจ.ในตลาดฯ มีถึง กว่า180 บริษัทที่มี EBITDA ตำ่กว่า ดอกเบี้ยจ่าย (แปลว่าดบ.ยังจ่ายไม่ได้เลยอย่าว่าแต่คืนเงินต้น..NPLแหงๆ)
รวมแล้วประมาณว่า 32%ของเงินกู้ของบจ.ทั้งหมดจะเป็นNPL

- สามพวกก็เห็นอาการก่อน คือ ธนาคารต่างประเทศที่ให้กู้ระยะสั้นเริ่มเรียกคืน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเเทขายจนหุ้นตกระเนระนาดตั้งแต่ต้นปี96 แล้วพวกนกแร้ง(Hedgefund )ก็เข้าโจมตีค่าเงินเป็นระลอก ตั้งแต่ปลายปี96 สถาบันการเงินเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง คนขาดความมั่นใจ

- เช่นทุกครั้งที่เริ่มเกิดวิกฤต เราจะต้องตั้งสมมุติฐานก่อนว่าเป็น วิกฤตสภาพคล่อง (liquidity crisis) วิกฤตความมั่นใจ เลยต้องแก้โดยการอัดเงินสู้ เรียกร้องให้มั่นใจ ซึ่งก็เลยเรียกร้องได้แต่คนไทย ฝรั่งเขาไม่มั่นใจด้วย เช่น มีEconomistชั้นยอดของCLSA วิเคราะห์ว่า ไทยไปไม่รอดแน่ ก็ส่งสันติบาลเข้าค้นบ้าน จะเนรเทศ จนเขาต้องเผ่น แล้วก็เลยโด่งดังระดับโลกในเวลาต่อมา The Economist ดันขึ้นหน้าปกว่า The Fall of Thailand เราก็ห้ามขายในประเทศ (นี่แหละครับผมถึงสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ กลัวถูกเนรเทศน่ะ บ้านก็เพิ่งสร้างเสร็จ แม่ก็อายุ90แล้ว)

- แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงมันเป็นวิกฤตการดำรงอยู่solvency crisis (เรียกง่ายๆว่าเจ๊งอย่างกว้างขวางแหละครับ) ถึงเวลาเงินก็หมดน่าตัก ความมั่นใจหลอกๆก็สร้างไม่ได้อีกต่อไป เอวังก็เกิดในวันที่ 2 กรกฎาคม2540 ไงครับ

ถามว่า แล้วอะไรมันผิดไปวะ ทำไมนักศศ. ชั้นครูทั้งหลาย ที่ธปท. รวมทั้ง ท่านโหรศก.ทั้งหลายจึงดูไม่ออก

ผมยกให้ Fixed Foreign Exchange Rate เป็นผู้ร้ายอันดับหนึ่งของหนังเรื่องนี้ พอเราเปิดเสรีให้เงินไหลเข้ามาทุกทาง แต่ไม่เปิดเสรีค่าเงิน มันก็เลยบิดเบี้ยว Inflationก็ไม่สูง เพราะพวก tradable goods ราคาไปตามตลาดโลก แต่เหมือนลูกโป่งแหละครับ พออัดเงินเข้า ราคาของ non-tradables ก็เกิดฟองสบู่ (ได้แก่พวกอสังหา ค้าปลีก โรงพยาบาล infrastructure ฯลฯ) ก็เลยกำไรมาก การลงทุนภาคนี้พุ่ง โดยใช้เงินกู้ระยะสั้นจากตปท.มาลงระยะยาวในกิจการที่ไม่มีรายได้ต่างประเทศ อุปสงค์แท้จริงก็ไม่มี ลงทุนไปเยอะ แต่output ไม่เพิ่ม มันก็เลยเจ๊งไม่เป็นท่าอย่างที่เห็น ผมยังนึกขอบคุณคุณพี่ Soros อยู่เลย ถ้าท่านไม่มา เราอาจจะยื้อได้อีกพัก แต่สุดท้ายก็แป๊กอยู่ดีและจะเจ็บใหญ่ เจ็บหนักกว่านี้แน่นอน(นี่คือประโยชน์แท้จริงของ hedgefund คือช่วยตรวจ ช่วยปรับความผิดปกติในระบบศก.)

ที่เขาว่า"วิกฤตต้มยำกุ้ง"ที่เกิดอย่างโด่งดัง เริ่มที่เรา แล้วเป็นโรคระบาดไปทั่ว เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ติดโรคไปหมด จริงๆแล้วไม่ใช่โรคระบาดหรอกครับ มันกินของแสลงเหมือนๆกัน คือไอ้ fixed Exchange Rate นี่แหละครับ มันเลย "อาหารเป็นพิษ"ไปทั่ว

เห็นไหมครับ การไปบิดเบือนกลไกตลาดในบางครั้ง แม้จะทำโดยเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ก็สามารถทำให้เกิดผลร้ายได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ผมก็ได้แต่หวังว่าการบิดเบือนตลาดข้าวครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้จะไม่ก ่อปัญหาวิกฤตร้ายแรงใดๆ ท่านน่าจะเก่งกาจสุดยอดจน "เอาอยู่ " ทั้งควบคุมตลาดโลกได้ ลดรั่วไหล สร้างประสิทธิภาพ ( อ้าว...ไอ้เตา แวะไปอีกแล้ะ...เดี๋ยวโดนเนรเทศหรอกมึง)

วันนี้ฝอยยาวมากกก....ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ยันสิบโมง ยังไม่ได้ว่าถึง กระบวนการแก้ปัญหา และบทเรียนเลย ต้องยกยอดวันหน้าอีกแล้ว แค่ควานหาคนผิดก็ปาเข้าไปครึ่งโลก นี่ถ้าจับเข้าคุก ยึดทรัพย์ได้หมด ก็คงคุกเต็ม ทรัพย์
ล้นคลัง ไม่ต้องกู้ 2 ล้านๆ ดันไปไล่เอาจากคุณเริงชัยคนเดียว เลยไม่ได้อะไร เพราะท่านไม่มี ไม่เคยโกง

ไปทำงานละ ไม่รู้ว่าโดนไล่ออกจากงาน กับโดนเนรเทศนี่ อย่างไหนจะเกิดก่อนกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์จริงคนขึ้นศาลคดี Easybuy

ประสบการณ์ไปศาลคดี บัตรเครดิต UOB

แนวทางรับมือเมื่อได้รับหมายศาลแบบบ้านๆ โดยคุณแก้วจ๋า ชมรมหนี้บัตรเครดิต