มหากาพย์ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ตอน 2 ... (เล่าเมื่อ 4 กค. 2556)

มหากาพย์ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ตอน 2 ... (เล่าเมื่อ 4 กค. 2556)


เมื่อวานซืนบทความ "16 ปีแห่งความหลัง" มีคนกดไลค์ กดแชร์ เกินพันเป็นครั้งแรกของบทความผม เป็นกำลังใจให้เล่าตอนต่อ เพื่อไม่ให้นานเกินรอ

กระบวนการแก้ไขและผลภายหลังของวิกฤติ ส่วนใหญ่เป็นที่รับรู้และมีการวิเคราะห์ วิจัย หาอ่านได้เยอะแยะทั่วไป ที่จะเล่า จะเป็นส่วนที่ผมเกี่ยวข้อง ได้รู้ได้เห็น (บางเรื่องเป็น inside) คนอื่นไม่ค่อยได้เน้น และเป็นในมุมมองของผมเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะพาดพิงถึงใครโดยไม่เหมาะสมบ้างก็ขอกราบขออภัย และท้วงติงด่าทอกลับมาได้ (อย่าถึงกับฟ้องร้องเลย)

ตอนที่แล้วเล่าถึงสาเหตุ ความผิดพลาดที่คนครึ่งโลก รวมทั้งคนไทยครึ่งประเทศมีส่วนร่วม ทำให้เกิดวิกฤต จนถึง
2 กค.40 และผมยกให้ Exchange Rate Policy เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด ทั้งๆที่เป็นนโยบายที่มีจุดประสงค์ที่ดี ทำให้เกิดผลดีในระยะหนึ่ง แต่นานไปก็ก่อให้เกิดการบิดเบือนในภาคส่วนต่างๆ

มีหลายท่านพยายามอธิบายว่า เป็นแผนการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ที่ไอ้พวกต่างชาติทั้งโลกมันร่วมกัน วางแผน เอาเงินมาหลอกให้เรากู้ เอาเข้ามาแกล้งซื้อหุ้น แล้วขยิบตาพร้อมกันกระชากออก เสร็จแล้วก็ส่ง IMF เข้ามาทำทีเป็นช่วย แต่กลับบังคับให้เลวลงอีก ออกกฎหมายขายชาติ แล้วพวกมันก็เข้ามากวาดซื้อของดีๆ ในราคาถูกๆ

โอ้โห....ฟังดูเสมือนหนึ่งไอ้พวกต่าง ชาติมันมีคนเดียว แก๊งเดียว Godfather คนเดียวสั่งได้หมด ทั้ง Bank ไอ้กัน ยุโรป ญี่ปุ่น ออสซี่ กว่าร้อยแห่ง ประชุมร่วมวางแผนอย่างพร้อมเพรียง ร่วมกับกองทุนหุ้นอีกหลายร้อย แถมปฏิบัติการกว้างขวาง ในไทย เกาหลี มาเลย์ อินโด ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ผมขอบอกว่าทฤษฎีสมคบคิด(conspiracy theory)อย่างนี้ ไม่มีทางเป็นจริงได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นได้แค่เพียงพล็อตหนัง ที่ถ้าเป็นจริง เอาพ่อของเจมส์ บอนด์ 007 มาก็คงปราบไม่ได้ ในความเป็นจริงพวกแบงค์ นักลงทุน ทั่วโลกเสียหายรวมกันกว่าล้านล้านเหรียญ ไอ้พวกแร้งลง เช่น hedgefund, distressed fund (ซึ่งเป็นคนละพวก) ที่ตามมาถ้าได้กำไร ก็เป็นแค่หลักพัน หลักหมื่น นายแบงค์ fund manager เพื่อนเก่าผม ถูกไล่ออก ตกงานกันเป็นแถว อ่านถึงตอนนี้ ใครที่ยังปักใจเชื่อทฤษฎีที่ว่า น่าจะเลิกอ่านต่อได้นะครับ เดี๋ยวจะหงุดหงิดเสียเปล่าๆ

แวะไปทะเลาะกับคนเขาแล้ว ขอกลับมาสู่เหตุการณ์สำคัญๆหลัง 2 กค.40

- ภาวะตื่นตระหนกเกิดขึ้นทั่วทั้งระบบ ค่าเงินลดฮวบ ตำ่กว่า 35บาทต่อเหรียญใน1 เดือนและมีทีท่าไหลลงต่อเนื่อง คนเริ่มถอนเงินฝาก โดยเฉพาะจากสถาบันการเงินขนาดเล็ก การค้าการเงิะงักงันไปทั่ว

- วันอังคารที่ 5 สค. 40 ครม.มีมติให้รัฐเข้าคุ้มครองรับประกันเงินฝากในสถาบันการเงินทุกแห่ง ตรงนี้มีเกร็ดเล่านิดหนึ่ง วันศุกร์ก่อนหน้าท่านนายกฯ(บิ๊กจิ๋ว) ให้สัมภาษณ์ว่าจะประกันเงินฝาก ผมกับดร.ศุภวุฒิ เลยขอเข้าพบดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าธปท.ที่เพิ่งเข้ามาแทนคุณเริงชัย มะกะรานนท์ ที่ถูกบีบให้ลาออกไป เพื่อวิเคราะห์ให้ท่านเห็นถึงต้นทุนของรัฐ ถ้าคำ้ประกัน โดยคำนวณให้ท่านดูว่าถ้าNPLทั้งระบบ ขึ้นไปถึง35 % ความเสียหายที่รัฐต้องรับ จะประมาณ 700,000 ล้านบาท และสถาบันการเงินทุกแห่งต้องตกเป็น ของรัฐ เพราะเจ๊งเรียบ (ในความเป็นจริง เราคาดผิดครับ เพราะNPLปาเข้าไป 45% ความเสียหายเลยเป็น 1.4 ล้านๆ ที่ยังเหลืออยู่ในกองทุนฟื้นฟูวันนี้ถึง 1.1 ล้านๆ ไม่รวมดอกเบี้ย 16ปีที่รัฐช่วยจ่ายไงครับ ส่วนสถาบันการเงินที่ไม่เจ๊งหมดต้อง ยกให้เป็นความฉลาดของรัฐ ธปท. IMF บวกกับความเฮงอีกนิดหน่อย ...ถ้าไม่กลัวยาวเกิน จะเล่าให้ฟังครับ) ท่านผู้ว่าฟังแล้วถึงกับอึ้งไป แล้วบอกสั้นๆว่า สงสัยต้องว่าไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ปัญหาเอา วันรุ่งขึ้นก็มีมติครม.ดังกล่าว. ความจริงมามองย้อนหลังผมเห็นด้วยว่าต้องคำ้ เพราะไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะโกลา หลเอาไม่อยู่ และถ้าเริ่มมี deposit fligth ออกจากประเทศ ต้องไปตามพ่อ IMF มาด้วย เหมือนกรีซแหละครับ แล้วเราก็เห็นว่าประเทศพัฒนาแล้วทุกแห่งก็ทำเหมือนกันตอนเกิดวิกฤติโลกปี 2008

- ในวันเดียวกัน (5 สค.) มีการระงับการดำเนินการของบริษัทเงินทุนอีก 42 แห่ง รวมของเดิมเป็น 58 แห่ง

- แล้วรัฐบาลไทยก็ตกลงเข้ารับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยลงนามใน Letter of Intent (LOI) ฉบับที่1 เมื่อ14สค. 40 เพื่อรับวงเงินช่วยเหลือ17.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งผมขอยืนยัยว่า IMF เป็นอัศวิน เป็นพระเอกตัวจริงคนหนึ่ง(มีหลายคนเหมือนคุณชายวังบางขุนพรหม เอ๊ย จุฑาเทพ) ที่มาช่วยให้ไทยตั้งหลักเดินหน้าได้อีก ไม่ได้เป็นผู้ร้ายชาติชั่วเหมือนบางคนป้ายสี ถึงแม้บางครั้งพระเอกอาจพลั้งเผลอ ซุ่มซ่าม ขัดขา หรือเอาศอกกระทุ้งหน้านางเอกอย่างไม่ตั้งใจบ้าง แต่โดยรวม ถ้าไม่มีIMFนางเอกยับเยินกว่านี้แน่นอน(ไว้แล้วจะอธิบายภายหลังนะครับ)

- ดูเหมือนสถานะการณ์ก็ยังไม่กระเตื้องเท่าไหร่ แถมประเทศอื่นๆก็เป็นโรคลุกลามไปทั่วเราเลยยิ่งทรุด เพราะกลัวว่า ถ้า17.2 ไม่พอ คุณพี่ IMF คงไม่เหลือกำลังเพิ่มให้เท่าไหร่ คนก็เลยไม่เชื่อ

- 22 ตค.40 ออก พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน เพื่อจัดการกับ บง. 58 แห่งที่ถูกพักการดำเนินการ

- ดร.ทนง พิทยะ รมต.คลังลาออก 24 ตค. ปรับครม. ดึงดร.โกร่ง(วีรพงษ์ รามางกูร)เป็น รองนายกฯ อ.โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรมต.คลัง

- 6 พย. 40 โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่ามกลางความงงงวยของทุกฝ่าย พลอ.เชาวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากการเป็นนายกฯ ตรงนี้มีเกร็ดนิดหนึ่ง ก่อนหน้านั้น วันอาทิตย์ที่ 19ตค.มีผู้ใหญ่ตามผม กับ อจ.เปี๋ยม ไปพบบิ๊กจิ๋วที่ทำเนียบตอน 7โมงเช้า เพื่อสรุปสถานะการศก. โดยมี รมต.เสนาะ รมต.โภคิน มรว.ปรีดิยาธรร่วมอยู่ด้วย ผมจำได้ว่าท่านถึงกับอึ้ง แถมมาตรการต่างๆก็เป็นเรื่อง "กัดลูกปืน"(bite the bullets)อย่างรุนแรงขนาดเลือดกลบปากทั้งนั้น ผมยังจำได้ว่า ป๋าเสนาะ ซึ่งนั่งตรวจรายชื่อโยกย้ายของมหาดไทย เป็นส่วนใหญ่ ถึงกับเงยหน้ามาพูดว่า "อย่างนี้มันก็ชิบหายจริงๆสิ ไม่่ใช่ไอ้ฝ่ายค้านสร้างเรื่อง" หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ท่านก็ลาออก ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่อันดับสอง ที่ท่านทำให้กับประเทศไทย (อันดับ1 คือ นโยบาย 66/2523 ที่ทำให้ยุตติสงครามก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศ) จริงๆแล้วท่ายังทำประโยชน์อื่นอีกแยะนะครับ

- ระหว่างที่น้าชาติเตรียมตัวกลับมา เป็นนายกฯอีกที ก็เกิดกรณีงูเห่า (ฝีมือเสธฯหนั่น) ทำให้คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ เมื่อ 14 พย. 40 มีคุณ ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรมต.คลัง ( พระเอกของผมโผล่เข้าฉากอีก 2 คน)

- 8 ธค. 40 คณะกรรมการปรส. มีมติให้ปิดถาวร สถาบันการเงิน 56 แห่ง ให้เปิดดำเนินการต่อได้เพียง 2 แห่ง คือ บางกอกอินเวสเม้นท์ ที่ยักษ์ใหญ่ AIA เข้าอุ้ม กับ บงล. เกียรตินาคิน. ที่เสนอแผนดีเสียจนปฏิเสธไม่ได้ (โดยมีภัทรฯเป็นที่ปรึกษา... ขอโม้หน่อยนะครับ) นัยว่าเป็นไปตามคำแนะนำของ IMF ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันจนปัจจุบันว่าถูกต้องหรือเปล่า ในความเห็นผมพบว่าในภายหลัง NPLของบง.เหล่านี้ สูงถึงกว่า70% และแม้สถาบันการเงินอื่นที่ไม่ได้ถ ูกปิดตอนนั้น เช่น ธนาคารหลายแห่ง ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ต้องให้รัฐเข้ายึด รวมทั้ง บงล.ภัทรธนกิจ ที่ผมย้ายไปเป็น CEO ก็ยังต้องปิดตัวเองลงในปี2542(เรียกว่าเจ๊งคามือแหละครับ....รายละเอียดเรื่องนี้ถ้ามีคนอยากรู้บอกมาเยอะๆ จะเล่าให้ฟังวันหน้านะครับ) ดังนั้นเรื่องปิดสถาบันการเงินนี้ ผมมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

- สถานการณ์เริ่มเข้าสู่เสถียรภาพ แต่ค่าเงินยังไหลลงเรื่อยๆ จนตำ่สุดที่ 55.3 บาทต่อเหรียญ ช่วงต้นปี 41 ก่อนจะเริ่มปรับเข้าสูดุลยภาพที่ประมาณ 40 บาทต่อเหรียญ ช่วงพค.และอยู่แถวนั้นอีกหลายปี

- พค. 40 หม่อมเต่า(มรว.จัตตุมงคล โสณะกุล)พระเอกคนที่4 ของผม ก็ข้ามห้วยจากคลัง มานั่งผู้ว่าธปท. ผมว่าท่านได้ทำประโยชน์ใหญ่ๆในเรื่องนี้ 3 อย่าง(ในความเห็นผม) คือ กู้ศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของธปท.กลับมา ร่วมกับคุณธารินทร์ทำให้สถาบันการเงินมีเสถียรภาพขึ้นไม่ต้องถูกยึดให้เป็นของรัฐทั้งหมด และ ได้นำระบบ Inflation Targetting มาใช้เป็นแกนของนโยบายการเงินจนทุก วันนี้ (ซึ่งทำให้รัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้งพี่โกร่ง หงุดหงิดอยู่ไงครับ) ส่วนเรื่องที่ท่านเจ้าคิด เจ้าแค้น อาละวาดจะจับคนเข้าคุกให้หมด ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่ผมลืมๆแล้ว(คนไม่ลืมน่าจะมีเยอะนะครับ)

วันนี้เห็นจะต้องแค่นี้ก่อนครับ พรุ่งนี้จะว่าถึงกระบวนการแก้ปัญหา แต่ละเรื่อง เช่น เรื่องระบบการเงิน การขายสินทรัพย์ ปรส. การงบประมาณ กฎหมายขายชาติ นโยบายดอกเบี้ย ฯลฯ แล้วจึงจะสรุปบทเรียน หวังว่าน่าจะไม่เกินอีกสองตอน จะพยายามให้จบในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนคุณชายจุฑาเทพจะจบนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์จริงคนขึ้นศาลคดี Easybuy

ประสบการณ์ไปศาลคดี บัตรเครดิต UOB

แนวทางรับมือเมื่อได้รับหมายศาลแบบบ้านๆ โดยคุณแก้วจ๋า ชมรมหนี้บัตรเครดิต