ขายบ้านเสียภาษีอย่างไร
ท่าน ผู้อ่านคงจะเคยผ่านตาป้ายโฆษณาขายสินค้าสารพัดตามเสาไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งรถยนต์ สินเชื่อ กำจัดปลวก ติวเตอร์ กวดวิชา ฯลฯ ถนนบางสายมีป้ายอยู่ทุกเสาจนเรานึกว่าเป็นสื่อโฆษนาชนิดหนึ่งไปซะแล้ว ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นโฆษณาขายบ้านเดี่ยว 3 นอน 3 น้ำ “ราคา 3.3 ล้าน” (โอ้โฮ!!) มาแอบติดกับเค้าด้วยเข้าใจว่าเจ้าของบ้านคงต้องมีความรู้เรื่องภาระภาษีเป็น อย่างดีจึงประหยัดค่าโฆษณาไว้มาเป็นค่าภาษีดีกว่า จึงเป็นที่มาของบททดสอบด้านภาษีอีกครั้ง คราวนี้ขอว่าด้วยเรื่องของภาระภาษีและค่าธรรมเนียมจากการขายบ้าน (อย่าเพิ่งปวดหัวเสียก่อนล่ะ...)
ก่อน
จะพูดถึงรายละเอียดประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องรู้เสียก่อนว่า
ภาระภาษีด้านต่าง ๆ
ที่จะต้องเสียเมื่อทำการโอนที่สำนักงานที่ดิน มีอะไรบ้าง ซึ่งได้แก่
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
3. อากรแสตมป์
3. ค่าธรรมเนียมการโอน
นอกจากนี้ หากเป็นกรณีการขายบ้านที่ได้มาโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไร
ก็จะต้องนำเงินได้จากการขายกรณีดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อกำหนดเวลาการยื่น
แบบฯ ด้วย แต่ถ้ากำไร (ซื้อบ้านมาเกิน 10 ปีแล้ว)
มีสิทธิไม่ต้องนำเงินได้จากการขายบ้านดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงิน
ได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48(4) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้
เห็น
หรือยังว่าหากจะคิดขายบ้าน ต้องเตรียมตัว(และเตรียมใจ)
รวมถึงเตรียมเงินทั้งในช่วงที่ทำการโอนและหลังจากโอนเรียบร้อยแล้วหลาย
รายการ เพื่อที่จะได้คำนวณให้ครอบคลุมไม่ต้องเจ็บใจที่หลังเพราะอย่าลืมว่าภาระ
ภาษีทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผู้ที่รับภาระตามกฎหมายก็คือผู้ขาย
หากจะให้ผู้ซื้อรับภาระด้านใด
ควรจะต้องตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนดำเนินการทางนิติกรรม เมื่อเข้าใจในหลักการเบื้องต้นแล้ว เราก็มาเข้าเรื่องภาระภาษีในแต่และประเภทกันดีกว่า
ราคา
ขายที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย นั้น
กฎหมายกำหนดให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียน
สิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีมีการโอนนั้น ตามมาตรา 49 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่คำนึงว่าราคาซื้อขายจริงจะเป็นเท่าใด เช่น
ซื้อขายบ้านหลังหนึ่งในราคา 3 ล้านบาท แต่ราคาประเมินอยู่ที่ 4 ล้านบาท
ก็จะต้องคำนวณภาษีจากราคา 4 ล้านบาท หรือหากราคาประเมิน 2 ล้านบาท
แต่ซื้อขายกันในราคา 3 ล้านบาทก็จะคำนวณภาษีจากราคา 2 ล้านบาท
สำหรับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(5) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นดังนี้
การคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามวิธีการที่ได้แสดงให้เห็นข้างต้นนั้น เกิดจากเงื่อนไขการคำนวณดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายและการนับจำนวนปีที่ถือครอง โดยแบ่งออกเป็น
1.1 การหักค่าใช้จ่ายกรณีที่ได้อสังหาริมทรัพย์มาโดยการรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา หักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 50
1.2 การหักค่าใช้จ่ายกรณีที่ได้อสังหามริมทรัพย์มาโดยการซื้อขาย หักค่าใช้จ่ายได้ดังนี้
การ
นับจำนวนปีที่ถือครอง ให้นับตามปี พ.ศ.ที่ถือครอง เช่น ซื้อบ้านมาวันที่ 28
ธันวาคม 2552 ขายไปวันที่ 4 มกราคม 2553 จำนวนปีที่ถือครองคือ 2 ปี
เพราะนับปี พ.ศ.2552 และพ.ศ.2553 ก็จะหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 84
แต่หากถือครองเกิน 10 ปี ให้นับเป็น 10 ปี
(อัตราก้าวหน้า) ตามตารางการคำนวณภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ในกรณีดังกล่าวไม่มีการยกเว้น ภาษีจากเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกแต่อย่างใด เพราะไม่ใช่การคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ
การ
ที่มีคนยกบ้านให้โดยเสน่หา หรือได้มาโดยไม่มุ่งในทางค้าหรือหากำไร
และใช้สิทธิเลือกเสียภาษีตอนสิ้นปีโดยไม่นำไปรวมกับเงินได้อื่น
เมื่อคำนวณภาษีแล้วจะเสียไม่เกินร้อยละ 20
ของราคาขาย(ราคาประเมิน)ทั้งนี้ตามมาตรา 48(4) วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากรตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
นาง สาวพอลล่า ขายบ้านในกรุงเทพฯ ไปใน ราคา 3,200,000 บาท โดยราคาประเมินอยู่ที่ 3 ล้านบาท เป็นบ้านซึ่งซื้อจากโครงการบ้านจัดสรรเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2548 จดทะเบียนโอนขายไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2553 จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายดังนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ครั้งที่แล้วได้พูดถึงภาระภาษีด้านต่าง ๆ สำหรับผู้ที่คิดจะขายบ้านไปแล้ว และจบท้ายด้วยภาระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย พร้อมตัวอย่างการคำนวณ ครั้งนี้มาว่าต่อด้วยเรื่องภาระภาษีธุรกิจเฉพาะกันเลย
กรณีบุคคลธรรมดาขายบ้านที่ตนเองซื้อมา ให้พิจารณาภาระภาษีธุรกิจเฉพาะตรงที่ว่าได้บ้านมาเกิน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา (ดูได้จากสารบัญหลังจดทะเบียนบ้านของโฉนดที่ดิน) ถ้า ขายบ้านไปภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้มา ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ถ้าขายบ้านที่ได้มาเกิน กว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาแล้ว ก็ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 4(6) แห่ง พรฎ.ฯ (ฉบับที่342)ฯ
แต่อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นการขายบ้านภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาหากเป็นกรณีดังต่อไปนี้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ (มาตรา 4(6)(ก)(ข)(ค)แห่ง พรฎ.ฯ (ฉบับที่ 342)ฯ
(1) การขายบ้านหรือถูกเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
(2) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาทางมรดก
(3) การ
ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญที่ผู้ขายมี
ชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น
ดังนั้น การขายบ้านจึงต้องดูด้วยว่าอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามหลักเกณฑ์ ข้างต้นหรือไม่ โดยผู้ขายจะต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 เพื่อเสียภาษีในขณะที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน (แต่ถ้ายังไม่มีการจดทะเบียนโอนก็ไม่ต้องเสีย) และเจ้าพนักงานที่ดินจะเป็นผู้เรียกเก็บ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา
รัฐบาลได้มีนโยบายการตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์โดยใช้เครื่องมือทางภาษี
ด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะลงเหลืออัตราร้อยละ 0.11 (รวมภาษีท้องถิ่น)
ซึ่งได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากช่วยประหยัดภาษีได้มากจนกระทั่งต้อง
ขยายกำหนดเวลา แต่ในปัจจุบันมาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดไปแล้ว
ใบรับ (หรือตราสารที่แสดงว่ามีการชำระเงินค่าซื้อขายบ้านระหว่างกัน) ที่เกิดจากการขายบ้านเป็นตราสารที่อยู่ในบังคับต้องเสียอากรแสตมป์ตามลักษณะ ตราสารที่ 28 (ข) แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ โดยรายรับจาการขายบ้าน 200 บาท จะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ จำนวน 1 บาท เศษของ 200 บาท ให้เสีย 1 บาทโดยเจ้าพนักงานที่ดินจะเป็นผู้รับชำระอากรแสตมป์เมื่อมีการโอนบ้าน แต่อย่างไรก็ดี หากการขายบ้านดังกล่าวอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว ก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์แต่อย่างใดผู้ที่ขายบ้านจะสังเกตเห็น ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินจะเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะหรืออากรแสตมป์ อย่างใดอย่างหนึ่ง เท่านั้น ไม่เรียกเก็บทั้ง 2 ประเภทภาษี
เมื่อรู้วิธีคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการโอนบ้านแล้ว
นายโดมก็คงจะคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านได้บ้าง
ก็อยู่ที่ทั้งนายโดมและนางสาวพลอยจะตกลงกันว่า ใครจะช่วยรับภาระเรื่องใด
มิฉะนั้นภาระทั้งหมดก็จะตกอยู่กับนายโดมซึ่งถือเป็นผู้มีเงินได้
ยกเว้นแต่ค่าธรรมเนียมการโอนซึ่งทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต้องรับภาระกันคนละ
ครึ่งหนึ่ง ในกรณีของนายโดมหากไม่ได้มีการตกลงกันก่อน
ภาระภาษีของนายโดมก็จะคิดเป็นจำนวนเงิน 373,000 บาท เพราะนางสาวพลอย -
ผู้ซื้อ มีภาระค่าธรรมเนียมการโอนจำนวน 50,000 บาท
ดังนั้น หากท่านที่ต้องการจะขายบ้านได้ศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับภาระภาษีดัง กล่าวแล้วก็คงพอจะคำนวณเงินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้คร่าว ๆ เพื่อที่จะได้ตกลงราคาขายแน่นอน ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือ หากท่านติดต่อผู้อื่นเป็นนายหน้าขายบ้าน ก็อย่าลืมบวกกลับเงินค่าตอบแทนค่านายหน้าเพิ่มเข้าไปอีกด้วย เพราะราคาบ้าน ณ ปัจจุบันค่านายหน้าคงไม่ยิ่งหยอนไปกว่าค่าภาษีบวกด้วยค่าธรรมเนียมเสียอีก
ที่มา : สรรพากรสาส์น Plus ปีที่ 2 ฉบับที่ 11 เดือน เมษายน 2553
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น