ไม่ถึง 1 ปี เป็นหนี้บัตรเครดิต 1 ล้าน รู้ตัวอีกทีเป็นโรคซึมเศร้าเกือบฆ่าตัวตาย
ปีที่แล้วพึ่งตั้งกระทู้ไป ปีนี้มีเรื่องมาเตือนใจเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เรื่องบัตรเครดิต และ บัตรกดเงินสดครับ เรื่องมีอยุ่ว่า
1. เมื่อต้นปีผมทำบัตรเครดิต และ บัตรกด เงินสด รวม 6 ใบ ใบละ 150,000 ถึง 200,000 รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาทพอดี ในตอนนั้นคิดว่าลองสมัครไปดูหลายๆที่ ประมาณ 9 ที่พร้อมๆกัน (เพราะพึ่งหลุดจากแบล๊กลิสต์) ปรากฏว่า ผ่านทั้งหมด 6 ใบ อีก 3 ไม่ผ่านผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรแต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเครดิตบูโร ในใจคิดว่าเอาไว้ใช้จ่ายฉุกเฉิน เพราะบัตรแต่ละใบที่สมัครไม่เสียรายปี แค่เพียงใช้ยอดถึงที่กำหนด
2. ตอนได้มาใบแรก ผมก็รูดไปเที่ยวต่างประเทศเลย ซึ่งตอนนั้นพึ่งจ่ายหนี้หมด เหลือแค่ผ่อนรถ กับให้เงินที่บ้านเท่านั้น ผมรูดซื้อของที่อยากซื้อ ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป แค่เดือนแรก ผมรูดไป 2 แสนกว่าบาท ตอนนั้นยังคิดว่าชิวๆ จ่ายขั้นต่ำแค่เดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท แปบเดียวก็หมด ผมพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ พ่อ แม่ และน้องของผม ซึ่งตอนนั้นรู้สึกมีความสุขมากๆครับ หลังจากที่ผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาเยอะ
3. ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ ก็รูดซื้อของให้ที่บ้าน พาไปกินอาหารขึ้นชื่อ สถานที่ดังๆ คือผมพาครอบครัวไปเองครับ เพราะเคยไปมาแล้ว และคิดว่าสนุกกว่าไปกับทัวร์ จบทริป ผมรูดไปอีก แสนกว่าบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน ผมรูดบัตรไปเกือบ 4 แสน และคิดว่าจะไม่รูดเพิ่มอีก แต่ตอนนั้นยังไม่เคยกดเงินสดออกมาครับ แต่ก็จ่ายขั้นต่ำอยุ่
4. ผมเริ่มคิดจะทำธุรกิจ (อีกแล้ว) พอดีมีรุ่นพี่ที่รุจักปล่อยเซ้งร้านขายชายี่ห้อหนึ่ง เนื่องจากรุ่นพี่จะไปอยู่ต่างประเทศ ค่าเซ้งรวมอุปกรณ์ทุกอย่าง 400,000 หลังจากที่สำรวจมาหลายอาทิตย์ ผมจะไปร้านแกหลังเลิกงาน กับเสาร์ อาทิตย์ครับ คนก็มาซื้อเยอะ เดือนนึงรุ่นพี่บอกว่ากำไรประมาณ 2-3 หมื่น หักทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าปีนึงก็คืนทุนแล้ว เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก จึงตัดสินใจเซ้งร้านต่อ
5. ผมมีเงินสดตอนนั้นอยุ่แค่ 30,000 บาท และกดเงินสดมาจากบัตรรวม 400,000 เป็นค่าเซ้งร้าน และมีค่าตกแต่งร้านเพิ่มนิดหน่อย ลูกจ้าง 2 คนก็คนเดิมครับที่ทำงานกับพี่ซึ่งไม่ต้องสอนอะไรเพิ่ม ค่าจ้างตอนนั้นคนละ 400 บาทต่อวัน ขายตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม บางช่วงลูกค้าน้อย ผมก็ให้สลับๆกันได้ ค่าเช่าที่เดือนละ 15,000 บาท ค่าไฟก็เดือนละ 7,000 กว่าบาท เป็นแค่ซอกเล็กๆแต่ค่าที่แพงมาก เพราะคนพลุกพล่าน แต่เสาร์ อาทิตย์ คนจะน้อยว่าเวลาทำงาน
6. เริ่มต้นขาย ก็ขายดีนะครับ วันธรรมดาได้เกือบ 100 แก้ว ไม่รวมทอปปิ้ง เสาร์ อาทิตย์ ประมาณ 50 แก้ว ยอมรับเลยครับว่าเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เนื่องจากผมมีงานประจำ ต้องซื้อของเอง เชคของเอง คอยแก้ปัญหาทุกๆอย่างที่เกิดกับร้าน บางครั้งก็ต้องเข้ามาชงชาเอง 1-2 เดือนแรก กำไร เดือนละ 30,000 กว่าบาท ก็พยายามเอาไปจ่าย บัตรที่รูดและกดออกมา แต่ระหว่างนั้นผมก็ยังคงรูดใช้จ่ายไปเรื่อยๆ
7. เข้าเดือนที่ 3 ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆคือของในร้านมันจะหมดเร็วกว่าปกติ แต่ยอดขายได้เท่าเดิม เลยเริ่มสงสัยว่ามีลูกจ้างจะเอาของออกจากร้านไป อ่อระหว่างนั้นก็มีลูกจ้างมาใหม่เรื่อยๆครับ บางคนกลับบ้านต่างจังหวัด บางคนต้องไปเลี้ยงลูก ผมพยายามดูกล้องแต่ก็จับไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนั้นยังคิดว่าคนชงมือใหม่มือหนักใส่เยอะ เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่กำไรลดลงมาเยอะ
1. เมื่อต้นปีผมทำบัตรเครดิต และ บัตรกด เงินสด รวม 6 ใบ ใบละ 150,000 ถึง 200,000 รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาทพอดี ในตอนนั้นคิดว่าลองสมัครไปดูหลายๆที่ ประมาณ 9 ที่พร้อมๆกัน (เพราะพึ่งหลุดจากแบล๊กลิสต์) ปรากฏว่า ผ่านทั้งหมด 6 ใบ อีก 3 ไม่ผ่านผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรแต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเครดิตบูโร ในใจคิดว่าเอาไว้ใช้จ่ายฉุกเฉิน เพราะบัตรแต่ละใบที่สมัครไม่เสียรายปี แค่เพียงใช้ยอดถึงที่กำหนด
2. ตอนได้มาใบแรก ผมก็รูดไปเที่ยวต่างประเทศเลย ซึ่งตอนนั้นพึ่งจ่ายหนี้หมด เหลือแค่ผ่อนรถ กับให้เงินที่บ้านเท่านั้น ผมรูดซื้อของที่อยากซื้อ ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป แค่เดือนแรก ผมรูดไป 2 แสนกว่าบาท ตอนนั้นยังคิดว่าชิวๆ จ่ายขั้นต่ำแค่เดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท แปบเดียวก็หมด ผมพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ พ่อ แม่ และน้องของผม ซึ่งตอนนั้นรู้สึกมีความสุขมากๆครับ หลังจากที่ผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาเยอะ
3. ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ ก็รูดซื้อของให้ที่บ้าน พาไปกินอาหารขึ้นชื่อ สถานที่ดังๆ คือผมพาครอบครัวไปเองครับ เพราะเคยไปมาแล้ว และคิดว่าสนุกกว่าไปกับทัวร์ จบทริป ผมรูดไปอีก แสนกว่าบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน ผมรูดบัตรไปเกือบ 4 แสน และคิดว่าจะไม่รูดเพิ่มอีก แต่ตอนนั้นยังไม่เคยกดเงินสดออกมาครับ แต่ก็จ่ายขั้นต่ำอยุ่
4. ผมเริ่มคิดจะทำธุรกิจ (อีกแล้ว) พอดีมีรุ่นพี่ที่รุจักปล่อยเซ้งร้านขายชายี่ห้อหนึ่ง เนื่องจากรุ่นพี่จะไปอยู่ต่างประเทศ ค่าเซ้งรวมอุปกรณ์ทุกอย่าง 400,000 หลังจากที่สำรวจมาหลายอาทิตย์ ผมจะไปร้านแกหลังเลิกงาน กับเสาร์ อาทิตย์ครับ คนก็มาซื้อเยอะ เดือนนึงรุ่นพี่บอกว่ากำไรประมาณ 2-3 หมื่น หักทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าปีนึงก็คืนทุนแล้ว เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก จึงตัดสินใจเซ้งร้านต่อ
5. ผมมีเงินสดตอนนั้นอยุ่แค่ 30,000 บาท และกดเงินสดมาจากบัตรรวม 400,000 เป็นค่าเซ้งร้าน และมีค่าตกแต่งร้านเพิ่มนิดหน่อย ลูกจ้าง 2 คนก็คนเดิมครับที่ทำงานกับพี่ซึ่งไม่ต้องสอนอะไรเพิ่ม ค่าจ้างตอนนั้นคนละ 400 บาทต่อวัน ขายตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม บางช่วงลูกค้าน้อย ผมก็ให้สลับๆกันได้ ค่าเช่าที่เดือนละ 15,000 บาท ค่าไฟก็เดือนละ 7,000 กว่าบาท เป็นแค่ซอกเล็กๆแต่ค่าที่แพงมาก เพราะคนพลุกพล่าน แต่เสาร์ อาทิตย์ คนจะน้อยว่าเวลาทำงาน
6. เริ่มต้นขาย ก็ขายดีนะครับ วันธรรมดาได้เกือบ 100 แก้ว ไม่รวมทอปปิ้ง เสาร์ อาทิตย์ ประมาณ 50 แก้ว ยอมรับเลยครับว่าเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เนื่องจากผมมีงานประจำ ต้องซื้อของเอง เชคของเอง คอยแก้ปัญหาทุกๆอย่างที่เกิดกับร้าน บางครั้งก็ต้องเข้ามาชงชาเอง 1-2 เดือนแรก กำไร เดือนละ 30,000 กว่าบาท ก็พยายามเอาไปจ่าย บัตรที่รูดและกดออกมา แต่ระหว่างนั้นผมก็ยังคงรูดใช้จ่ายไปเรื่อยๆ
7. เข้าเดือนที่ 3 ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆคือของในร้านมันจะหมดเร็วกว่าปกติ แต่ยอดขายได้เท่าเดิม เลยเริ่มสงสัยว่ามีลูกจ้างจะเอาของออกจากร้านไป อ่อระหว่างนั้นก็มีลูกจ้างมาใหม่เรื่อยๆครับ บางคนกลับบ้านต่างจังหวัด บางคนต้องไปเลี้ยงลูก ผมพยายามดูกล้องแต่ก็จับไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนั้นยังคิดว่าคนชงมือใหม่มือหนักใส่เยอะ เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่กำไรลดลงมาเยอะ
ขออนุญาตกลับมาเล่าต่อนะครับ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยหายดีเป็นปกติเท่าไหร่ พอคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผิดพลาดมาซ้ำๆ แล้วมันเศร้า น้ำตามันไหลครับ มันอาจจะดูผิดพลาดซึ่งมันผิดพลาดจริงๆ แต่ตอนนั้นผมกลับไม่ได้คิดแบบนั้น อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ครับ
8. ตอนประเมินเงินเดือนขึ้น หัวหน้าผมบอกว่าความสารมารถผม outstanding ซึ่งได้ขึ้นเงินเดือนมาอีก ช่วงนั้น ผมรู้สึกมีความสุขนะ ถึงแม้จะมีหนี้เยอะ แต่ทำทุกอย่างเต็มที่ คิดถึงแต่ข้างหน้าว่ามันจะต้องหมดให้เร็วที่สุด แต่สิ่งแย่ๆก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ มันเป็นเพราะตัวผมเอง ผมเริ่มเที่ยวกลางคืน สังสรรค์ กินเหล้า บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ผมทำทุกอย่างได้พร้อมๆกันเหมือนมีพลัง ไม่มีวันหมด ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป ไปดูร้านบ้างไม่ไปบ้าง ใช้น้องในร้านไปซื้อของแทน โดยให้เงินเพิ่ม ภายใน 3 เดือนหลังจากเปิดร้าน บัตรเครดิตผมเต็มทุกใบ
9. ช่วงเปิดร้านแรกๆ ผมจ่ายบัตรขั้นต่ำเกือบทุกเดือน ตกเดือนละ 60,000 - 50,000 บาท โดยที่ยังมีค่าผ่อนรถเดือนละ 20,000 และค่าเช่าห้อง ซึ่งตอนนั้นดอกเบี้ยที่ผมต้องจ่ายต่อเดือนเกือบหนึ่งหมื่นบาท และค่าใช้จ่ายที่ต้องหมุนเวียนในร้านอีก ซึ่งกำไรก็น้อยลงในเดือนที่ 3 พอขึ้นเดือนที่ 4 ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว จะหาคนมาช่วยก็ไม่มี ถ้าจ้างใครอีกคงไม่เหลืออะไร แถมต้องจ่ายบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเดือนละ 80,000 กว่าบาท จึงตัดสินใจประกาศเซ้งร้านต่อที่ราคาเดิม 400,000 บาท เพื่อเอามาปิดบัตรแต่กว่าจะหาคนเซ้งต่อได้ก็ใช้เวลาเกือบเดือนเหมือนกัน เป็นรุ่นน้องผู้หญิง ต้องสอนอะไรหลายอย่าง กว่สจะได้เงินมาก็ใช้เวลา และน้องขอต่อราคาเหลือ 370,000 ผมก็ตกลงที่ราคานั้น
10. พอได้เงินมาผมปิดบัตรเงินสดและบัตรเครดิตไปได้ 3 ใบ เหลืออีก 3 ใบ ยอดรวมเกือบ 500,000 ซึ่งก็จ่ายขั้นต่ำมาเรื่อยๆ ค่าผ่อนรถ มีช้าบ้างโดนค่าทวงถาม ค่าเบี้ยปรับเพิ่ม กดเงินสดมาจ่าย เพื่อไม่ให้เลยกำหนดบ้าง และตอนนั้นผมเริ่มเที่ยวน้อยลง บวกกับผมเริ่มมีความเครียดเรื่องหนี้ที่เกิด ผมเสียใจว่าผมทำอะไรลงไป ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่เคยบอกที่บ้านเรื่องหนี้ ไม่เคยบอกเพื่อนหรือใคร บอกแค่ผู้หญิงคนนึงที่ผมเจอที่ผับช่วงนั้น เราเที่ยวด้วยกันบ่อย และตกลงคบกัน ผมเล่าเธอทุกเรื่องที่ผมผ่านมาตอนนั้น ปัจจุบันก็คือแฟนผม
11. ผมเริ่มเครียดจนขนาดไม่อยากเจอใคร ไม่อยากไปไหน ทุกอย่างมันดูเศร้าไปหมด จากที่เคยทำงานได้ดี ผมรู้สึกผมทำงานไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรง นอนซมและลาป่วยบ่อย ผมรุ้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่รุ้ว่าจะเกิดมาบนโลกนี้ทำไม ในแต่ละวันผมคิดเรื่องตายไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่เคยทำจริง เพราะกลัวแฟนจะเสียใจ เชื่อมั้ยตอนนั้นในสมองผมไม่มีคิดถึงพ่อ แม่ หรือน้องเลย ผมนอนร้องไห้แทบทุกคืน ตอนนั้นแฟนจะมาหาผมแค่ช่วงศุกร์ เสาร์ จนแฟนเริ่มสงสัยว่าเป็นอะไร เธอจึงพาผมไปหาหมอ
12. ผมหาหมออายุรกรรม 2 โรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาลเอกชนใช้บัตรประกันสุขภาพของบริษัท โดยที่เล่าอาการแค่บอกว่ารู้สึกไม่สบาย มีไข้ เจ็บคอ หมอก็ตรวจเลือด ทุกอย่างในร่างกายผมปกติดี มีแค่เลือดจางเล็กน้อย ค่าตรวจเลือดแต่ละที่ค่อนข้างจะแพงผมก็รูดบัตรทุกครั้ง และผมก็ยังป่วยอยุ่อย่างนั้นเรื่อยๆ จนผมตัดสินใจไปที่ โรงพยาบาลที่ผมทำประกันสังคม ผมเล่าอาการให้หมอฟังและตรวจเลือดซึ่งค่าใช้จ่ายฟรี ตอนเล่าผมร้องไห้บอกหมอว่าอยากหาย แต่ไม่เคยเล่าเรื่องจะฆ่าตัวตาย หมอคนนี้แนะนำให้ผมไปพบแพทย์ที่แผนกจิตเวช
13. ปกติแฟนผมจะไปด้วยตลอด แต่วันนั้นแฟนผมติดงานไม่ได้ไปด้วย ผมไปนั่งรอแผนกจิตเวชและยังร้องไห้ไม่หยุด ผมคิดว่าผมคงเป็นบ้าหมอเลยแนะนำให้มาที่แผนกนี้ พอผมเข้าไป พยาบาลบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่รับคนไข้แล้ว แต่พยาบาลเห็นผมนั่งร้องไห้และซักประวัติถามว่าเป็นอะไร ผมเล่าพยาบาลคนนั่นไปเรื่องอยากตาย พยาบาลจึงไปตามอาจารย์หมอที่กำลังสอนอยุ่มาดูเคสของผม พอหมอมาการพูดคุยทำให้ผมรุ้สึกดีขึ้น ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอสันนิษฐานว่าผมเป็นไบโพลาร์และอยุ่ในช่วงซึมเศร้า พอได้ยินผมก็ยังร้องไห้ไม่หยุด
ขอโทษจริงๆครับ ผมต้องนอนแล้ว เพราะกินยานอนหลับไปซักพักแล้ว พรุ่งนี้มาต่อนะครับ
8. ตอนประเมินเงินเดือนขึ้น หัวหน้าผมบอกว่าความสารมารถผม outstanding ซึ่งได้ขึ้นเงินเดือนมาอีก ช่วงนั้น ผมรู้สึกมีความสุขนะ ถึงแม้จะมีหนี้เยอะ แต่ทำทุกอย่างเต็มที่ คิดถึงแต่ข้างหน้าว่ามันจะต้องหมดให้เร็วที่สุด แต่สิ่งแย่ๆก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ มันเป็นเพราะตัวผมเอง ผมเริ่มเที่ยวกลางคืน สังสรรค์ กินเหล้า บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ผมทำทุกอย่างได้พร้อมๆกันเหมือนมีพลัง ไม่มีวันหมด ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป ไปดูร้านบ้างไม่ไปบ้าง ใช้น้องในร้านไปซื้อของแทน โดยให้เงินเพิ่ม ภายใน 3 เดือนหลังจากเปิดร้าน บัตรเครดิตผมเต็มทุกใบ
9. ช่วงเปิดร้านแรกๆ ผมจ่ายบัตรขั้นต่ำเกือบทุกเดือน ตกเดือนละ 60,000 - 50,000 บาท โดยที่ยังมีค่าผ่อนรถเดือนละ 20,000 และค่าเช่าห้อง ซึ่งตอนนั้นดอกเบี้ยที่ผมต้องจ่ายต่อเดือนเกือบหนึ่งหมื่นบาท และค่าใช้จ่ายที่ต้องหมุนเวียนในร้านอีก ซึ่งกำไรก็น้อยลงในเดือนที่ 3 พอขึ้นเดือนที่ 4 ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว จะหาคนมาช่วยก็ไม่มี ถ้าจ้างใครอีกคงไม่เหลืออะไร แถมต้องจ่ายบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเดือนละ 80,000 กว่าบาท จึงตัดสินใจประกาศเซ้งร้านต่อที่ราคาเดิม 400,000 บาท เพื่อเอามาปิดบัตรแต่กว่าจะหาคนเซ้งต่อได้ก็ใช้เวลาเกือบเดือนเหมือนกัน เป็นรุ่นน้องผู้หญิง ต้องสอนอะไรหลายอย่าง กว่สจะได้เงินมาก็ใช้เวลา และน้องขอต่อราคาเหลือ 370,000 ผมก็ตกลงที่ราคานั้น
10. พอได้เงินมาผมปิดบัตรเงินสดและบัตรเครดิตไปได้ 3 ใบ เหลืออีก 3 ใบ ยอดรวมเกือบ 500,000 ซึ่งก็จ่ายขั้นต่ำมาเรื่อยๆ ค่าผ่อนรถ มีช้าบ้างโดนค่าทวงถาม ค่าเบี้ยปรับเพิ่ม กดเงินสดมาจ่าย เพื่อไม่ให้เลยกำหนดบ้าง และตอนนั้นผมเริ่มเที่ยวน้อยลง บวกกับผมเริ่มมีความเครียดเรื่องหนี้ที่เกิด ผมเสียใจว่าผมทำอะไรลงไป ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่เคยบอกที่บ้านเรื่องหนี้ ไม่เคยบอกเพื่อนหรือใคร บอกแค่ผู้หญิงคนนึงที่ผมเจอที่ผับช่วงนั้น เราเที่ยวด้วยกันบ่อย และตกลงคบกัน ผมเล่าเธอทุกเรื่องที่ผมผ่านมาตอนนั้น ปัจจุบันก็คือแฟนผม
11. ผมเริ่มเครียดจนขนาดไม่อยากเจอใคร ไม่อยากไปไหน ทุกอย่างมันดูเศร้าไปหมด จากที่เคยทำงานได้ดี ผมรู้สึกผมทำงานไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรง นอนซมและลาป่วยบ่อย ผมรุ้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่รุ้ว่าจะเกิดมาบนโลกนี้ทำไม ในแต่ละวันผมคิดเรื่องตายไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่เคยทำจริง เพราะกลัวแฟนจะเสียใจ เชื่อมั้ยตอนนั้นในสมองผมไม่มีคิดถึงพ่อ แม่ หรือน้องเลย ผมนอนร้องไห้แทบทุกคืน ตอนนั้นแฟนจะมาหาผมแค่ช่วงศุกร์ เสาร์ จนแฟนเริ่มสงสัยว่าเป็นอะไร เธอจึงพาผมไปหาหมอ
12. ผมหาหมออายุรกรรม 2 โรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาลเอกชนใช้บัตรประกันสุขภาพของบริษัท โดยที่เล่าอาการแค่บอกว่ารู้สึกไม่สบาย มีไข้ เจ็บคอ หมอก็ตรวจเลือด ทุกอย่างในร่างกายผมปกติดี มีแค่เลือดจางเล็กน้อย ค่าตรวจเลือดแต่ละที่ค่อนข้างจะแพงผมก็รูดบัตรทุกครั้ง และผมก็ยังป่วยอยุ่อย่างนั้นเรื่อยๆ จนผมตัดสินใจไปที่ โรงพยาบาลที่ผมทำประกันสังคม ผมเล่าอาการให้หมอฟังและตรวจเลือดซึ่งค่าใช้จ่ายฟรี ตอนเล่าผมร้องไห้บอกหมอว่าอยากหาย แต่ไม่เคยเล่าเรื่องจะฆ่าตัวตาย หมอคนนี้แนะนำให้ผมไปพบแพทย์ที่แผนกจิตเวช
13. ปกติแฟนผมจะไปด้วยตลอด แต่วันนั้นแฟนผมติดงานไม่ได้ไปด้วย ผมไปนั่งรอแผนกจิตเวชและยังร้องไห้ไม่หยุด ผมคิดว่าผมคงเป็นบ้าหมอเลยแนะนำให้มาที่แผนกนี้ พอผมเข้าไป พยาบาลบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่รับคนไข้แล้ว แต่พยาบาลเห็นผมนั่งร้องไห้และซักประวัติถามว่าเป็นอะไร ผมเล่าพยาบาลคนนั่นไปเรื่องอยากตาย พยาบาลจึงไปตามอาจารย์หมอที่กำลังสอนอยุ่มาดูเคสของผม พอหมอมาการพูดคุยทำให้ผมรุ้สึกดีขึ้น ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอสันนิษฐานว่าผมเป็นไบโพลาร์และอยุ่ในช่วงซึมเศร้า พอได้ยินผมก็ยังร้องไห้ไม่หยุด
ขอโทษจริงๆครับ ผมต้องนอนแล้ว เพราะกินยานอนหลับไปซักพักแล้ว พรุ่งนี้มาต่อนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น