มีหนี้เท่าไร ถึงเรียกว่ามากเกินไป โดย...ธีระ ภู่ตระกูล CFP นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย / teeraphutrakul@gmail.com
มีหนี้เท่าไร ถึงเรียกว่ามากเกินไป
โดย...ธีระ ภู่ตระกูล CFP นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย /
teeraphutrakul@gmail.com
ในยามที่หนี้ครัวเรือนในประเทศอยู ่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่าง ในปัจจุบันที่ 80% ของ GDP ประเด็นที่หลายคนกังวล คือ มีหนี้สักเท่าไร จึงจะเรียกว่ามากเกินไปหรือมากเ กินตัว หนี้ประเภทไหน ที่น่าจะจัดการด้วยการใช้เครดิต แทนที่จะจ่ายเงินสด เพื่อช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ถูก ต้องในเรื่องการก่อหนี้ส่วนบุคค ล หรือ Personal Debt บทความนี้จะแสดงให้เห็นว่าระดับ ของการผ่อนหนี้บ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต และการเรียนควรอยู่ในอัตราเท่าใ ด จึงจะเรียกว่าเหมาะสม
รวมทั้งจะอธิบายวิธีที่ดีที่สุด ในการจัดการหนี้ส่วนตัวของท่านด ้วย
ในโลกแห่งการบริโภคนิยมนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทีเดี ยวที่คนเราจะดำรงชีวิตในสังคมเม ืองโดยไม่มีการก่อหนี้ คนส่วนใหญ่ของสังคมไม่สามารถจ่า ยค่าซื้อบ้านเป็นเงินสด หรือซื้อรถด้วยเงินสด จ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหลานเป็นเง ินสด (ยกเว้นกรณีส่งบุตรหลานไปศึกษาต ่อต่างประเทศ ซึ่งจะต้องชำระเงินสดในสกุลเงิน ต่างประเทศ) แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะปล่อยใ ห้มีหนี้สินบานตะไท จนไม่สามารถจัดการได้ตามหลักของ การบริหารการเงินที่ดีนั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าภาระหนี้ที่เ ป็นระยะยาวต่อเดือนควรมีไม่เกิน 36 เปอร์เซ็นต์ ของรายรับต่อเดือน ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่นายธนาคารจ ะให้ความสำคัญ เมื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือทาง การเงินของลูกหนี้
อย่างไรก็ดี หากมองในอีกขั้วหนึ่ง การไม่มีหนี้สินเลยก็ถือเป็นวิธ ีบริหารการเงินที่ไม่ชาญฉลาดเท่ าใดนัก แม้เป็นเรื่องฉุกเฉินก็เถอะ เพราะคุณจะต้องจ่ายเงินสดสำรองข องคุณออกไปแทนที่จะใช้เครดิตได้ ความท้าทายตรงนี้อยู่ที่ว่า การเรียนรู้ที่จะตัดสินใจได้อย่ างถูกต้องว่าค่าใช้จ่ายประเภทใด ที่ควรจะชำระด้วยการก่อหนี้ และประเภทใดที่ไม่ควร จากนั้นก็บริหารเงินที่คุณกู้ยื มมาให้ถูกต้องเหมาะสม ก่อนไปดูรายละเอียดเรื่องนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านลองทำแบบสอบถาม 8 ข้อนี้ เพื่อดูว่ามีปัญหาเรื่องการบริห ารหนี้ส่วนตัวหรือไม่?
1.เงินค่างวดต่างๆ เช่น สินเชื่อบ้านของคุณ รวมเบี้ยประกันด้วยนั้น มากกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ขั้นต้นประจำแต่ละเดือ นของคุณหรือไม่?
(ก) ใช่ (5 คะแนน)
(ข) ไม่ใช่ (0 คะแนน)
2.เงินค่าผ่อนรถยนต์ของคุณมากกว ่า 15 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้สุทธิประจำเดือนหรือไม ่?
(ก) ใช่ (5 คะแนน)
(ข) ไม่ใช่ (0 คะแนน)
3.เทียบยอดหนี้ในบัตรเครดิตแต่ล ะใบกับเพดานวงเงินที่ได้รับอนุม ัติ เสร็จแล้วเทียบยอดหนี้รวมของบัต รเครดิตกับเพดานวงเงินรวมที่ได้ รับ
อนุมัติให้ใช้
(ก) แต่ละบัญชีมียอดหนี้ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ (0 คะแนน)? (ข)
แต่ละบัญชีมียอดหนี้เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ (5 คะแนน)? (ค)
ยอดหนี้รวมทุกบัตรเครดิตมีมากกว ่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของเพดานวงเงินที่ได้รับอนุมัติ (15 คะแนน)
4.รวมตัวเลขการจ่ายค่างวดและค่า ผ่อนชำระต่างๆ ประจำเดือนทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วหารด้วยรายรับขั้นต้นในแต่ล ะเดือนของคุณ เพื่อที่จะดูว่าคุณมีหนี้อยู่กี ่เปอร์เซ็น
ต์ หรือคิดเป็นร้อยละเท่าไร?
(ก) น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ (0 คะแนน)? (ข) 30-35 เปอร์เซ็นต์ (5 คะแนน)?
(ค) 36-40 เปอร์เซ็นต์ (10 คะแนน)? (ง) มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ (20 คะแนน)
5.คุณมีเงินสำรองฉุกเฉินในวงเงิ นที่มีค่าเท่ากับยอดชำระหนี้เป็ นเวลา 3 เดือนหรือไม่ ซึ่งต้องรวมตัวเลขค่าใช้จ่ายของ คุณด้วยนะ
(ก) ไม่มี (10 คะแนน)? (ข) มีพอชำระแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น (5 คะแนน)? (ค) ใช่ (0 คะแนน)
6.คุณเคยชำระหนี้ช้ากว่าปกติหรื อไม่ช่วง 6 เดือนก่อน?
(ก) เคย (10 คะแนน)
(ข) ไม่เคย (0 คะแนน)
7.ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คุณเคยมองคิดทำรีไฟแนนซ์และคำนว ณว่าจะประหยัดเงินได้สักเท่าไร หรือไม่?
(ก) ไม่เคย (10 คะแนน)
(ข) เคย (0 คะแนน)
8.เคยตรวจสอบรายงานเครดิตของตัว เองหรือไม่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา?
(ก) ไม่เคย (10 คะแนน)
(ข) เคย (0 คะแนน)
คุณได้คะแนน = ?
ถ้าได้ต่ำกว่า 10 ก็ไม่ต้องอ่านตอนต่อไป เพราะสามารถบริหารหนี้ของคุณได้ ยอดเยี่ยมแล้ว ถ้าคะแนนออกมา 15-30 คะแนน ยังถือว่าบริหารหนี้ส่วนตัวได้ด ี แต่ต้องระมัดระวังรอบคอบสักหน่อ ย? ส่วนคนที่ได้มากกว่า 30 ขึ้นไป แนะนำว่าคุณควรจะอ่านข้อเขียนขอ งผมต่อ เพราะแววว่ากำลังเผชิญหน้าปัญหา หนี้แบบแก้ไม่ตกเสียแล้ว
โดยทั่วไปการตัดสินใจที่จะก่อหน ี้ยืมสินมักไม่ได้มีเหตุมาจากปร ะเด็นที่ว่าคุณมีเงินสดมากน้อยเ ท่าไร แต่จะมาจากเหตุผลที่ว่ามันมีลู่ ทางอะไรไหมที่จะทำให้เงินงอกเงย ขึ้นมาได้อีกบ้างในช่วงที่อัตรา ดอกเบี้ยต่ำมากอย่างตอนนี้ คุณลองคำนวณเล่นๆ ดูซิว่าคุณมีค่าใช้จ่ายด้านดอกเ บี้ยเงินกู้สักเท่าไร เทียบกับว่าคุณจะได้ดอกผลเท่าไร หากเอาเงินจำนวนเดียวกันนี้ไปลง ทุน ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถสร้างผลตอ บแทนจากการนำเงินสดของคุณเองไปล งทุนให้งอกเงยขึ้นมามากกว่าที่ค ุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและก็กู้มา ลงทุนดูจะคุ้มมากกว่านะ ต่อไปนี้คือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดจ ากการมีหนี้ส่วนตัว
หนี้สินรวม
ผู้ปล่อยกู้โดยทั่วไปมักจะมีธรร มเนียมปฏิบัติ ว่าจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อโดยไ ม่ให้ลูกหนี้ต้องมีภาระการส่งค่ างวดมากเกินกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ขั้นต้น และภาระการชำระหนี้ต่อเดือนก็ต้ องไม่ให้เกินกว่าอัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ของรายได้สุทธิ
อย่างไรก็ดี ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมากเป ็นประวัติการณ์อย่างในเวลานี้ ผู้ให้กู้ก็ยอมที่จะปล่อยวงเงิน ซึ่งก็ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้รว มอยู่ระหว่าง 40-50 เปอร์เซ็นต์ แต่คำถามใหญ่ก็คือ คุณยินดีที่จะก่อหนี้มากขนาดนั้ นหรือไม่? วิธีที่จะมองว่าคุณควรจะมีหนี้ส ักเท่าใด ก็คือพิจารณาการบริหารรายได้ของ คุณ หากคุณจ่ายค่าภาษีเงินได้ 28 เปอร์เซ็นต์ คุณก็มีเงินออมในระดับที่แข็งแร งพอ คือ 15 เปอร์เซ็นต์ และคุณมีการผ่อนชำระหนี้รายเดือ นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นคุณก็จะมีเงินติดมือสำหร ับจับจ่ายใช้สอยในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คุณคิดว่านี่เป็นการแบ่งสันปันส ่วนที่ทำให้คุณดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือไม่ ขอบอกตามตรงว่า
โดยหลักการที่เป็นที่ยึดถือกันโ ดยทั่วไปแล้ว ภาระหนี้ที่มีมากกว่าอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ขั้นต้นของ แต่ละเดือน ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคุณกำลั งเข้าสู่สถานการณ์วิกฤตในการบริ หารเงินแล้ว
ผ่อนหนี้บ้าน
การที่คนเราจะจ่ายเงินค่าซื้อบ้ านเป็นเงินสดนั้น ถือว่ามีความเป็นไปได้หรือมีโอก าสน้อยมาก เว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นมหาเศรษฐี ดังนั้นเมื่อคุณจะไปขอสินเชื่อซ ื้อบ้าน มันก็มีเหตุผลอยู่หากคุณต้องการ วางเงินดาวน์ให้มากที่สุดเท่าที ่จะทำได้ เพื่อที่ว่าคุณจะได้จ่ายดอกเบี้ ยน้อย แต่การทำแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ด ีที่สุดเสมอไป คุณควรจะพิจารณาแง่มุมอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คุณจำเป็นต้องมีการสำรองเงินสดไ ว้เท่าไร หรือเงินที่คุณเอาไปลงทุนไว้ได้ ดอกผลเท่าไร แม้โดยทั่วไปสินเชื่อเพื่อซื้อบ ้านจะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสิน เชื่อประเภทอื่นๆ และคุณยังเอาไปคำนวณลดภาษีได้ด้ วย
แต่การเอาเงินสดทั้งหมดไปวางดาว น์บ้านก็ไม่ถือว่าเป็นวิธีที่ฉล าดนัก และคุณยังมีภาระหนี้ด้านอื่นๆ อีก อัตราการวางเงินดาวน์ที่เหมาะสม อยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของราคาบ้าน และก็ถือเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปข องการขอสินเชื่อซื้อบ้านด้วย
เงินกู้เพื่อการศึกษา
เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องจ่ายค่าเ ล่าเรียนบุตรหลานในระดับอุดมศึก ษา การอนุญาตให้พวกเขากู้เงินมาเรี ยนก็เป็นวิธีคิดที่น่าสนใจ น่าจะดีกว่าที่คุณต้องขายสินทรั พย์หรือกู้จากกองทุนบำนาญของคุณ เหตุผลที่น่าจะทำอย่างนั้นก็คือ มีแหล่งเงินกู้เพื่อการศึกษาอยู ่เป็นจำนวนมาก แต่จะไม่มีใครยอมปล่อยกู้เพื่อใ ห้คุณเอาเงินไปใช้ยามเกษียณอายุ เป็นแน่ จริงๆ แล้ววิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือ การเก็บหอมรอมริบให้ได้มากที่สุ ด เพื่อเอาไว้ใช้เป็นทุนการศึกษาใ ห้ลูกเก็บได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนที่ขาดก็ให้ลูกๆ ไปกู้ยืมเอาได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีเงินกู้สำหร ับนักเรียนนักศึกษาหรือมีทุนการ ศึกษา โดยทั่วไปผู้กู้ที่เป็นนักศึกษา สามารถส่งค่างวดได้ในอัตรา 12 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ แต่หากคุณเป็นผู้ปกครองจะต้องกู ้เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนลูกเท่าไ ร เป็นเรื่องยากที่จะบอกอัตราส่วน ได้ชัดเจน มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้เกิ ดสมดุล แต่หลักใหญ่ใจความก็อยู่ที่ว่าค ุณต้องชำระหนี้เงินกู้ประเภทนี้ ให้หมดก่อนที่คุณจะถึงเวลาเกษีย ณอายุ
ผู้อ่านสามารถส่งคำถามเกี่ยวกับ การเงินส่วนบุคคลให้ผมได้ที่ teerap@truemail.co.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น