10 บทเรียนที่ได้รับจากการลาออกจากงาน
ชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
และหลายครั้งที่เราทุกคนเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างและหลงทาง
เพราะถูกสังคมบีบคั้นด้วยกฎของการใช้ชีวิตที่เราทุกคนไม่ได้กำหนด
แต่เราก็ต้องเดินตามกันไปเพียงเพราะสังคมเขาทำแบบไหนเขาคาดหวังอะไรจากเรา เราก็เลยทำแบบนั้น บางครั้งเราก็ทำสำเร็จ แต่หลายๆครั้งก็ไม่เป็นอย่างใจ
ท้ายที่สุด สิ่งที่เหลือในใจของเราก็คือความผิดหวังและความรู้สึกว่า “ล้มเหลว”
ปัญหาของผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องงาน เพราะในทุกวันนอกจากการนอนหลับพักผ่อน เราก็ใช้เวลาวันละอย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงในการทำงานของเรา ไม่รวมถึงคนที่เป็นเจ้าของกิจการที่อาจทำงานมากกว่านี้จนแทบไม่ได้พักผ่อน
สุดท้าย เรามักจะมีคำถามกับตัวเองเสมอว่า “นี่คืองานที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า?” “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่?” “เรามีความสามารถมากพอที่จะสร้างรายได้และความสำเร็จมากกว่านี้ไหม?”
เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานต้องมีคำถามนี้ในใจอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลาที่ปัญหารุมเร้าจนเรารู้สึกท้อถอย
แต่คนส่วนใหญ่มักติดอยู่ใน Comfort Zone หรือ พื้นที่สบาย เลยไม่กล้าทำอะไรกับมัน แม้เราจะรู้ว่า สุดท้ายสิ่งที่เรากำลังทำมันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี
ถ้าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น เครียด เกี่ยวกับงานของคุณ ว่าควรจะอยู่หรือจะไปดี
ถ้าคุณกำลังมีความฝัน แต่ไม่กล้าลงมือทำ เลยยอมทนติดแหงกอยู่กับอะไรเดิมๆ
บางทีบทเรียน 10 ข้างด้านล่างนี้อาจจะช่วยให้คุณคิดอะไรออกได้บ้าง
1. ในโลกนี้ ไม่มีคำว่า “เวลาที่ใช่และเหมาะสม” หรอก
หากว่าคุณเคยมีความคิดเกี่ยวกับการลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พบว่าเวลานี้ยังไม่ใช่หรือเหมาะสมเท่าใด เราอยากบอกว่า คุณไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้หรอก เพราะคุณยังมีความหวังว่าทุกอย่างในตอนนี้มันอาจจะดีขึ้น
คุณมีความหวังว่าอนาคตน่าจะเหมาะสมกว่าตอนนี้ แต่รู้ไหมว่า “เวลาที่ใช่ มันไม่มีหรอก” เราทุกคนวนเวียนกับคำว่า “ต้องเตรียมตัวก่อน” แต่บางคนก็เตรียมตัวทั้งชีวิต ไม่ว่าจะการนั่งคิด วางแผนการหรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้คุณรู้สึกว่าตัวเองพร้อม
แต่เชื่อไหมว่า สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ทำมัน ชีวิตคนเราอาจตลก ที่มันไม่สนใจหรอกว่าเราจะพร้อมหรือไม่พร้อมแค่ไหน เพราะชีวิตให้โอกาสทุกคนเสมอ เพียงชีวิตมักจะสนใจคนที่กล้าหาญที่จะลงมือทำมากกว่าคนที่นั่งเตรียมตัวอยู่มากกว่าเท่านั้นเอง
2. คนอื่นมักคิดว่าคุณบ้า แต่เชื่อเถอะว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา
พวกเรามีจิตใจที่บอบบางอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเรามักจะแคร์คำพูดและความคิดของคนอื่นมากกว่าหัวใจตัวเอง แต่เชื่อสิว่าจิตใจที่บอบบางของเรามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ว่าความกลัวเอย ความรู้สึกไม่มั่นใจ ความคิดบ่อนทำลาย และไอ้นิสัยที่ชอบสนใจคำคนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ย มันคือ “อีโก้” ที่คอยหลอกหลอน เป่าหูเรา ทำให้ทุกอย่างมันยาก
เพราะอีโก้มันไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง มันขี้กลัว ก็เลยมักจะเป่าหูให้เรากลัว แถมยังชอบสร้างความสับสนให้จิตใจด้วย
เป็นเหตุผลที่ว่าส่วนใหญ่แล้วเรามักเลือกทางเดินชีวิตต่างๆเพราะเราแคร์ความคิดคนอื่นมากกว่าหัวใจของเราเอง ถ้าลองถามคนที่เขากล้าลาออกจากงานที่ไม่ใช่ แล้วเลือกหนทางใหม่สำหรับตัวเองนั้น เขาก็พบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็น “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” “บ้าไปแล้วเหรอ” “ทำไมไม่หางานให้ได้ก่อนค่อยลาออก” “แล้วจะเสียใจทีหลัง”
แต่สุดท้ายแล้ว
เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจและเดินหน้าต่อไป แน่นอนมันอาจจะดูเหมือนพูดง่ายกว่าทำ แต่ก็มีหลายคนที่ทำแล้วก็ไปรอดนี่ เพราะฉะนั้น “จงเรียนรู้ที่จะเพิกเฉยเสียงของอีโก้ในตัวเราและผู้คนที่คอยขัดขวางเรา” เราไม่สามารถเอาใจทุกคนได้หรอก ดังนั้น ถ้าจะเลือกตามใจใครสักคน ขอให้เป็นตัวเราเองก็แล้วกัน
3. เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ
ไม่มีใครทำให้เราลาออกได้ (ยกเว้นกรณีโดนเชิญออกหรือไล่ออก) ดังนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไรหรือทำอะไรกับเรา คนที่จะตัดสินใจทำสิ่งนั้นๆลงไป คือตัวเราคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
เราอาจจะอ้างได้ว่า เพราะเกลียดงาน เพื่อนร่วมงานไม่ชอบขี้หน้าเรา หรือเจ้านายงี่เง่า ฯลฯ ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร แต่การกระทำของเราก็มาจากตัวเรา
ดังนั้น การลาออกจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ที่เราทำลงไปแล้วเราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด
ข้อดีก็คือ เราได้เรียนรู้การรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ ต่อจากนี้ไปเราจะได้ลิขิตชีวิตตัวเอง ทำสิ่งที่เราเลือก ทำมันให้ดีที่สุด ดังนั้นการลาออกไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสหรือน่าประณามแต่อย่างใด ถ้าเรามองว่ามันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจนำไปสู่สิ่งที่ยิ่งดีกว่าเดิม
4. หลังจากทุกอย่างสิ้นสุดลง เราก็มีอย่างอื่นให้แก้ไขต่อ
การลาออกอาจจะจบปัญหาที่ทำงานลงได้ เราอาจจะรู้สึกโล่งใจในวันแรกๆ แต่ในชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่นี้ ต่อไปที่เราต้องเจอคือ การจัดการกับปากท้องของเราเอง ซึ่งทำให้หลายๆคนรู้สึกหวาดผวาและรู้สึกไม่มั่นคง
แต่กระนั้น อย่าลืมทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ ตั้งสติและยืนหยัดให้ได้ เพราะเหตุผลที่เราลาออกมา คือการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง จากนั้นค่อยๆมองหาความท้าทายใหม่ในชีวิต หรือไม่ก็สร้างมันเสียเองเลย เมื่อคนเราพบผ่านและรับมือได้กับความไม่แน่นอนของชีวิตมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเรียนรู้การรับมือกับชีวิตได้มากเท่านั้น เหมือนกันการเล่นเกม เล่นบ่อยๆซ้ำๆ เราก็เดาทางได้ ไม่นานก็เก่งเอง
5. ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ
เมื่อเรายังเด็ก เราเห็นแพทเทิร์นในชีวิตของผู้ใหญ่และสังคมทั่วไป คือเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก เกษียณ แค่นั้น เราจึงคิดว่าถ้าอยากมีชีวิตที่สบายและมีปัญหาน้อยที่สุด ก็คือการทำงานเก็บเงินให้มากๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดแบบเด็กๆเท่านั้นเอง เพราะเมื่อคนเราโตขึ้นมา เราจึงได้พบว่ามันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น เพราะเมื่อเราทำงานหาเงิน เราหนีความเครียดได้ไม่พ้น และในเมื่อมันไม่มีอะไรแน่นอน หลายครั้งที่เราแทบล้มเพราะสิ่งที่เราหวังไม่เป็นอย่างหวัง เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าไม่จ่ายหนี้ ปิดยอดขายไม่ได้ ลูกค้าหาย ฟองสบู่แตก บริษัทขาดทุนหรือล้มละลาย ฯลฯ
แต่ถึงแม้ชีวิตมันจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เราเลือกได้ที่จะไม่เอาตัวเราและความรู้สึกเข้าไปร่วมอินกับเหตุการณ์ต่างๆมาก ถ้าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด และเมื่อมันเกิดได้ มันก็ดับไปเองได้ เราอาจต้องรอหน่อย แต่จะมัวเศร้าและเฝ้ารอทำไม ในเมื่อเรายังมีวินาทีปัจจุบันให้ใช้ชีวิตอยู่
และหลายครั้งที่เราทุกคนเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างและหลงทาง
เพราะถูกสังคมบีบคั้นด้วยกฎของการใช้ชีวิตที่เราทุกคนไม่ได้กำหนด
แต่เราก็ต้องเดินตามกันไปเพียงเพราะสังคมเขาทำแบบไหนเขาคาดหวังอะไรจากเรา เราก็เลยทำแบบนั้น บางครั้งเราก็ทำสำเร็จ แต่หลายๆครั้งก็ไม่เป็นอย่างใจ
ท้ายที่สุด สิ่งที่เหลือในใจของเราก็คือความผิดหวังและความรู้สึกว่า “ล้มเหลว”
ปัญหาของผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องงาน เพราะในทุกวันนอกจากการนอนหลับพักผ่อน เราก็ใช้เวลาวันละอย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงในการทำงานของเรา ไม่รวมถึงคนที่เป็นเจ้าของกิจการที่อาจทำงานมากกว่านี้จนแทบไม่ได้พักผ่อน
สุดท้าย เรามักจะมีคำถามกับตัวเองเสมอว่า “นี่คืองานที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า?” “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่?” “เรามีความสามารถมากพอที่จะสร้างรายได้และความสำเร็จมากกว่านี้ไหม?”
เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในวัยทำงานต้องมีคำถามนี้ในใจอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลาที่ปัญหารุมเร้าจนเรารู้สึกท้อถอย
แต่คนส่วนใหญ่มักติดอยู่ใน Comfort Zone หรือ พื้นที่สบาย เลยไม่กล้าทำอะไรกับมัน แม้เราจะรู้ว่า สุดท้ายสิ่งที่เรากำลังทำมันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี
ถ้าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น เครียด เกี่ยวกับงานของคุณ ว่าควรจะอยู่หรือจะไปดี
ถ้าคุณกำลังมีความฝัน แต่ไม่กล้าลงมือทำ เลยยอมทนติดแหงกอยู่กับอะไรเดิมๆ
บางทีบทเรียน 10 ข้างด้านล่างนี้อาจจะช่วยให้คุณคิดอะไรออกได้บ้าง
1. ในโลกนี้ ไม่มีคำว่า “เวลาที่ใช่และเหมาะสม” หรอก
หากว่าคุณเคยมีความคิดเกี่ยวกับการลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พบว่าเวลานี้ยังไม่ใช่หรือเหมาะสมเท่าใด เราอยากบอกว่า คุณไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้หรอก เพราะคุณยังมีความหวังว่าทุกอย่างในตอนนี้มันอาจจะดีขึ้น
คุณมีความหวังว่าอนาคตน่าจะเหมาะสมกว่าตอนนี้ แต่รู้ไหมว่า “เวลาที่ใช่ มันไม่มีหรอก” เราทุกคนวนเวียนกับคำว่า “ต้องเตรียมตัวก่อน” แต่บางคนก็เตรียมตัวทั้งชีวิต ไม่ว่าจะการนั่งคิด วางแผนการหรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้คุณรู้สึกว่าตัวเองพร้อม
แต่เชื่อไหมว่า สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ทำมัน ชีวิตคนเราอาจตลก ที่มันไม่สนใจหรอกว่าเราจะพร้อมหรือไม่พร้อมแค่ไหน เพราะชีวิตให้โอกาสทุกคนเสมอ เพียงชีวิตมักจะสนใจคนที่กล้าหาญที่จะลงมือทำมากกว่าคนที่นั่งเตรียมตัวอยู่มากกว่าเท่านั้นเอง
2. คนอื่นมักคิดว่าคุณบ้า แต่เชื่อเถอะว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา
พวกเรามีจิตใจที่บอบบางอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเรามักจะแคร์คำพูดและความคิดของคนอื่นมากกว่าหัวใจตัวเอง แต่เชื่อสิว่าจิตใจที่บอบบางของเรามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ว่าความกลัวเอย ความรู้สึกไม่มั่นใจ ความคิดบ่อนทำลาย และไอ้นิสัยที่ชอบสนใจคำคนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ย มันคือ “อีโก้” ที่คอยหลอกหลอน เป่าหูเรา ทำให้ทุกอย่างมันยาก
เพราะอีโก้มันไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง มันขี้กลัว ก็เลยมักจะเป่าหูให้เรากลัว แถมยังชอบสร้างความสับสนให้จิตใจด้วย
เป็นเหตุผลที่ว่าส่วนใหญ่แล้วเรามักเลือกทางเดินชีวิตต่างๆเพราะเราแคร์ความคิดคนอื่นมากกว่าหัวใจของเราเอง ถ้าลองถามคนที่เขากล้าลาออกจากงานที่ไม่ใช่ แล้วเลือกหนทางใหม่สำหรับตัวเองนั้น เขาก็พบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็น “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” “บ้าไปแล้วเหรอ” “ทำไมไม่หางานให้ได้ก่อนค่อยลาออก” “แล้วจะเสียใจทีหลัง”
แต่สุดท้ายแล้ว
เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจและเดินหน้าต่อไป แน่นอนมันอาจจะดูเหมือนพูดง่ายกว่าทำ แต่ก็มีหลายคนที่ทำแล้วก็ไปรอดนี่ เพราะฉะนั้น “จงเรียนรู้ที่จะเพิกเฉยเสียงของอีโก้ในตัวเราและผู้คนที่คอยขัดขวางเรา” เราไม่สามารถเอาใจทุกคนได้หรอก ดังนั้น ถ้าจะเลือกตามใจใครสักคน ขอให้เป็นตัวเราเองก็แล้วกัน
3. เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ
ไม่มีใครทำให้เราลาออกได้ (ยกเว้นกรณีโดนเชิญออกหรือไล่ออก) ดังนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไรหรือทำอะไรกับเรา คนที่จะตัดสินใจทำสิ่งนั้นๆลงไป คือตัวเราคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
เราอาจจะอ้างได้ว่า เพราะเกลียดงาน เพื่อนร่วมงานไม่ชอบขี้หน้าเรา หรือเจ้านายงี่เง่า ฯลฯ ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร แต่การกระทำของเราก็มาจากตัวเรา
ดังนั้น การลาออกจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ที่เราทำลงไปแล้วเราต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด
ข้อดีก็คือ เราได้เรียนรู้การรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรากระทำ ต่อจากนี้ไปเราจะได้ลิขิตชีวิตตัวเอง ทำสิ่งที่เราเลือก ทำมันให้ดีที่สุด ดังนั้นการลาออกไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสหรือน่าประณามแต่อย่างใด ถ้าเรามองว่ามันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจนำไปสู่สิ่งที่ยิ่งดีกว่าเดิม
4. หลังจากทุกอย่างสิ้นสุดลง เราก็มีอย่างอื่นให้แก้ไขต่อ
การลาออกอาจจะจบปัญหาที่ทำงานลงได้ เราอาจจะรู้สึกโล่งใจในวันแรกๆ แต่ในชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่นี้ ต่อไปที่เราต้องเจอคือ การจัดการกับปากท้องของเราเอง ซึ่งทำให้หลายๆคนรู้สึกหวาดผวาและรู้สึกไม่มั่นคง
แต่กระนั้น อย่าลืมทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ ตั้งสติและยืนหยัดให้ได้ เพราะเหตุผลที่เราลาออกมา คือการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง จากนั้นค่อยๆมองหาความท้าทายใหม่ในชีวิต หรือไม่ก็สร้างมันเสียเองเลย เมื่อคนเราพบผ่านและรับมือได้กับความไม่แน่นอนของชีวิตมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเรียนรู้การรับมือกับชีวิตได้มากเท่านั้น เหมือนกันการเล่นเกม เล่นบ่อยๆซ้ำๆ เราก็เดาทางได้ ไม่นานก็เก่งเอง
5. ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ
เมื่อเรายังเด็ก เราเห็นแพทเทิร์นในชีวิตของผู้ใหญ่และสังคมทั่วไป คือเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก เกษียณ แค่นั้น เราจึงคิดว่าถ้าอยากมีชีวิตที่สบายและมีปัญหาน้อยที่สุด ก็คือการทำงานเก็บเงินให้มากๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข
แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดแบบเด็กๆเท่านั้นเอง เพราะเมื่อคนเราโตขึ้นมา เราจึงได้พบว่ามันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น เพราะเมื่อเราทำงานหาเงิน เราหนีความเครียดได้ไม่พ้น และในเมื่อมันไม่มีอะไรแน่นอน หลายครั้งที่เราแทบล้มเพราะสิ่งที่เราหวังไม่เป็นอย่างหวัง เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าไม่จ่ายหนี้ ปิดยอดขายไม่ได้ ลูกค้าหาย ฟองสบู่แตก บริษัทขาดทุนหรือล้มละลาย ฯลฯ
แต่ถึงแม้ชีวิตมันจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เราเลือกได้ที่จะไม่เอาตัวเราและความรู้สึกเข้าไปร่วมอินกับเหตุการณ์ต่างๆมาก ถ้าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด และเมื่อมันเกิดได้ มันก็ดับไปเองได้ เราอาจต้องรอหน่อย แต่จะมัวเศร้าและเฝ้ารอทำไม ในเมื่อเรายังมีวินาทีปัจจุบันให้ใช้ชีวิตอยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น