10 บทเรียนที่ได้รับจากการลาออกจากงาน ภาค 2
ต่อนะครับ
6. เราสามารถสร้างกฎเกณฑ์ของตัวเองได้
คนอื่นอาจจะว่าบ้า ถ้าเกิดเราจะเลิกทำงานประจำที่มั่นคง ชีวิตในคอนโดแสนสุขสบาย รายได้ที่โอเคเพื่อไปทำสิ่งที่เรียกว่า “ไม่มั่นคง” ในสายตาคนอื่น อย่างพนักงานฟรีแลนซ์ หรือ ครูสอนเปียโน?
พูดกันตามตรงมันก็ดูบ้าเหมือนกันนะ
แม้จะมีคนหลายคนเลือกทำแบบนี้ แต่เหมือนสังคมเราจะให้ค่า “ความมั่นคง” มากกว่า “ความสุขในชีวิต” ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกเอง เราทุกคนสร้างกฎเกณฑ์ของชีวิตเราได้เสมอ ถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเหมือนใคร และใครๆก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบคุณด้วย คนเราทุกคนมีสิทธ์เลือกทางเดินของตนเอง
7. เมื่อไม่มีใครออกคำสั่งเรา เราก็ต้องทำเอง
ตอนที่คนเราทำงานประจำ เรามักจะมีผู้บังคับบัญชา ซึ่งหลายครั้งเราก็แค่ทำตามที่เขามอบหมายงานมาเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้ และนั่นทำให้เราเคยชินกับกิจวัตรแบบเดิมๆ ที่ไม่ต้องบังคับตัวเองเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวงานก็บีบบังคับเราเอง
ต่อให้เราไม่อยากทำหรือขี้เกียจแค่ไหน แต่ความกลัวที่มีต่อเจ้านายก็จะทำให้ลุกขึ้นมาทำงานเอง แต่เมื่อเราออกมาเริ่มต้นชีวิตอิสระ ภายใต้การควบคุมของเรา ไม่มีใครออกคำสั่งเราแล้ว เราไม่ต้องรีบตื่นในวันที่ขี้เกียจ เราไม่ต้องฝ่ารถติดทุกวันโดยไม่จำเป็นอีกต่อไป เราจึงต้องเป็นคน “กำหนด” ทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าไม่ยากหรอก
แต่เชื่อสิ เมื่อวันนั้นมาถึงทุกคนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะขี้เกียจและผัดวันประกันพรุ่ง ดังนั้น มันสำคัญมากที่เราจะฝึกตนเอง เอาชนะความขี้เกียจของตัวเองให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเคยชินกับความขี้เกียจและกลายเป็นคนที่ไร้ประสิทธิภาพ
8. ความกลัวเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโต
ชีวิตเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันทำให้คนเราไขว่คว้าหาความมั่นคงเข้ามาเติมในชีวิต เปรียบเหมือนการที่เราลอยคออยู่ในทะเลและพยายามหาอะไรเกาะยึดเหนี่ยวไว้ก่อน อะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ตายก็พอ
หลายคนเข้าใจว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีอะไรที่แตกต่างจากตัวเราเยอะแน่ๆ ถ้าพวกเขาไม่รวยมาตั้งแต่เกิด ก็ต้องเป็นคนที่มีพลังวิเศษที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความกลัว เหมือนพวกเขามีอำนาจที่พวกเราไม่มี ทำนองนั้น แต่เมื่อได้ลองศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จมากๆดู ไม่ว่าจะจากการพูดคุยกับเขาอย่างส่วนตัว หรือว่าดูจากการสัมภาษณ์ในทีวี ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาก็มีความกลัวทั้งนั้นแหละ
เพราะความกลัวเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอย่างธรรมชาติ แถมพวกเขายังเผชิญหน้ากับความกลัวมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราตัดสินใจทำอะไรใหญ่ๆได้ เป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัวที่มีนั่นเอง
ดังนั้น อย่าคิดว่าความกลัวเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองและไม่อยากจะพบพานที่สุด ถ้าเราเริ่มทำอะไรและรู้สึกกลัวนิดๆขึ้นมา นั่นเป็นสัญญาณที่ดี เป็นเพราะเราเริ่มที่จะออกจาก “Comfort Zone” ของเราแล้ว อีโก้มันจึงพยายามฉุดรั้งและขัดขวางไม่ให้เราลงมือทำเพราะมันกลัวความเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเราทำสิ่งที่กลัวทุกวัน เริ่มวันละนิดวันละหน่อย เราจะเรียนรู้การจัดการความกลัวได้เอง
9. เวลาคนเราก็มีเท่านี้ ไม่มากไปกว่านี้
คนเรามักมีความปรารถนาเพิ่มขึ้นกับทุกเรื่อง ถ้าไม่ใช่เงิน ก็เวลา ถ้าไม่ใช่เวลา ก็ความสำเร็จ ถ้าไม่ใช่ความสำเร็จ ก็คือความเคารพนับถือ วนเวียนอยู่แบบนี้ เป็นวงจรชีวิตไม่จบไปสิ้น
ในเมื่อชีวิตคนเราเต็มไปด้วยตัณหาไม่จบไปสิ้น เราควรมีสติรู้ให้เท่าทันตัวเอง รู้จักลิมิตและขอบเขต มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่บ้าคลั่งไม่รู้จักพอ คนเรามีเวลาเท่าๆกัน และเวลาจะมีค่าอะไรถ้าเราไม่รู้จักจัดสรรมันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ถ้าเราไม่รู้จักจัดการกับสิ่งที่เรามีให้ดีก่อน เราจะมีมากกว่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อแค่ตอนนี้ยังจัดการไม่ได้เลย จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด หมั่นจัดสรรเวลาให้คนที่เรารักและรักเราบ้าง ชีวิตเราอาจจะมีความหมายมากขึ้นโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากไปกว่านี้ก็ได้
10. ยอดเยี่ยม คือ 100% นอกจากนั้น ยังไม่ใช่
คนเรามักคิดว่าคนที่สำเร็จมักมีทางลัด ทั้งๆที่เขาบอกว่าเขาทำงานหนักและเขาใช้เวลากว่าจะมาถึงจุดนี้
แต่เราก็มักจะไม่เชื่อและคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เพราะเราก็ทำงานหนักเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เห็นได้แบบเขา คนเราเข้าใจว่าการจะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม คือการทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จริงๆแล้ว การทำงานหนักในแบบของคนประสบความสำเร็จ ไม่ได้วัดจากเวลาที่ลงมือทำ
แต่เขาวัดจาก “คุณภาพของงาน” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาจะใช้เวลาและทรัพยากรทั้งหมดที่มีในแต่ละวันให้ดีที่สุด ทุกวันต้องยอดเยี่ยม 100% ต่ำกว่านี้คือ ไม่ได้ตามที่คาดหวัง และนั่นเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จอย่างใจอยากสักที เพราะเราก็ขยันมากๆ เราทุ่มเทมากๆ แต่มันผิดจุดเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราคิดว่าเราทุ่มเทแล้วด้วยความเหนื่อยยาก มันอาจให้ผลลัพธ์แค่ 50% ในขณะที่คนที่คนอื่นเขาอาจดูไม่เหนื่อยเท่าเรา แต่เขาทำงานได้ยอดเยี่ยม 100% ซึ่งเขาไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรหรอก เขาก็แค่ทำสิ่งที่เขาต้องทำ เพียงแต่เราแค่ทุ่มเทผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง หลักของการทำงานให้มีประสิทธิภาพคือ ความสม่ำเสมอ การลงมือทำสิ่งใดก็ตามแต่ทำนานๆครั้ง ผลก็จะไม่เทียบเท่ากับการทำให้เต็มที่อยู่สม่ำเสมอ
มีการวิจัยบอกว่าถ้าเราทำสิ่งใดแบบเดิมๆซ้ำๆติดต่อกันเกิน 30 วันขึ้นไป มันจะกลายเป็นนิสัยของเรา ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้เรามีนิสัยที่อยากแก้ไข หรือต้องการสร้างนิสัยดีๆให้ตัวเราใหม่ ลองใช้กฎ 30 วันดูก็ได้ ปรับแบบแผนการใช้ชีวิตใหม่ แรกๆอาจทำได้ยากมาก เพราะเรายังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิม แต่เมื่อเราฝืนใจทำมันไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเคยชิน และทุกอย่างจะง่ายขึ้น ผลลัพธ์ใหม่ในด้านบวกก็จะตามเรามาในที่สุด
นี่คือบทเรียนที่คนลาออกหลายคนได้ค้นพบ การเปลี่ยนแปลงอาจสร้างความรู้สึกแย่ แต่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้แย่เสมอไป อยู่ที่เราเรียนรู้และนำความเปลี่ยนแปลงนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเองให้สูงสุด
ที่มา careersblog
6. เราสามารถสร้างกฎเกณฑ์ของตัวเองได้
คนอื่นอาจจะว่าบ้า ถ้าเกิดเราจะเลิกทำงานประจำที่มั่นคง ชีวิตในคอนโดแสนสุขสบาย รายได้ที่โอเคเพื่อไปทำสิ่งที่เรียกว่า “ไม่มั่นคง” ในสายตาคนอื่น อย่างพนักงานฟรีแลนซ์ หรือ ครูสอนเปียโน?
พูดกันตามตรงมันก็ดูบ้าเหมือนกันนะ
แม้จะมีคนหลายคนเลือกทำแบบนี้ แต่เหมือนสังคมเราจะให้ค่า “ความมั่นคง” มากกว่า “ความสุขในชีวิต” ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกเอง เราทุกคนสร้างกฎเกณฑ์ของชีวิตเราได้เสมอ ถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเหมือนใคร และใครๆก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบคุณด้วย คนเราทุกคนมีสิทธ์เลือกทางเดินของตนเอง
7. เมื่อไม่มีใครออกคำสั่งเรา เราก็ต้องทำเอง
ตอนที่คนเราทำงานประจำ เรามักจะมีผู้บังคับบัญชา ซึ่งหลายครั้งเราก็แค่ทำตามที่เขามอบหมายงานมาเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้ และนั่นทำให้เราเคยชินกับกิจวัตรแบบเดิมๆ ที่ไม่ต้องบังคับตัวเองเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวงานก็บีบบังคับเราเอง
ต่อให้เราไม่อยากทำหรือขี้เกียจแค่ไหน แต่ความกลัวที่มีต่อเจ้านายก็จะทำให้ลุกขึ้นมาทำงานเอง แต่เมื่อเราออกมาเริ่มต้นชีวิตอิสระ ภายใต้การควบคุมของเรา ไม่มีใครออกคำสั่งเราแล้ว เราไม่ต้องรีบตื่นในวันที่ขี้เกียจ เราไม่ต้องฝ่ารถติดทุกวันโดยไม่จำเป็นอีกต่อไป เราจึงต้องเป็นคน “กำหนด” ทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าไม่ยากหรอก
แต่เชื่อสิ เมื่อวันนั้นมาถึงทุกคนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะขี้เกียจและผัดวันประกันพรุ่ง ดังนั้น มันสำคัญมากที่เราจะฝึกตนเอง เอาชนะความขี้เกียจของตัวเองให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเคยชินกับความขี้เกียจและกลายเป็นคนที่ไร้ประสิทธิภาพ
8. ความกลัวเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโต
ชีวิตเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันทำให้คนเราไขว่คว้าหาความมั่นคงเข้ามาเติมในชีวิต เปรียบเหมือนการที่เราลอยคออยู่ในทะเลและพยายามหาอะไรเกาะยึดเหนี่ยวไว้ก่อน อะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ตายก็พอ
หลายคนเข้าใจว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีอะไรที่แตกต่างจากตัวเราเยอะแน่ๆ ถ้าพวกเขาไม่รวยมาตั้งแต่เกิด ก็ต้องเป็นคนที่มีพลังวิเศษที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความกลัว เหมือนพวกเขามีอำนาจที่พวกเราไม่มี ทำนองนั้น แต่เมื่อได้ลองศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จมากๆดู ไม่ว่าจะจากการพูดคุยกับเขาอย่างส่วนตัว หรือว่าดูจากการสัมภาษณ์ในทีวี ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาก็มีความกลัวทั้งนั้นแหละ
เพราะความกลัวเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอย่างธรรมชาติ แถมพวกเขายังเผชิญหน้ากับความกลัวมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราตัดสินใจทำอะไรใหญ่ๆได้ เป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัวที่มีนั่นเอง
ดังนั้น อย่าคิดว่าความกลัวเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองและไม่อยากจะพบพานที่สุด ถ้าเราเริ่มทำอะไรและรู้สึกกลัวนิดๆขึ้นมา นั่นเป็นสัญญาณที่ดี เป็นเพราะเราเริ่มที่จะออกจาก “Comfort Zone” ของเราแล้ว อีโก้มันจึงพยายามฉุดรั้งและขัดขวางไม่ให้เราลงมือทำเพราะมันกลัวความเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเราทำสิ่งที่กลัวทุกวัน เริ่มวันละนิดวันละหน่อย เราจะเรียนรู้การจัดการความกลัวได้เอง
9. เวลาคนเราก็มีเท่านี้ ไม่มากไปกว่านี้
คนเรามักมีความปรารถนาเพิ่มขึ้นกับทุกเรื่อง ถ้าไม่ใช่เงิน ก็เวลา ถ้าไม่ใช่เวลา ก็ความสำเร็จ ถ้าไม่ใช่ความสำเร็จ ก็คือความเคารพนับถือ วนเวียนอยู่แบบนี้ เป็นวงจรชีวิตไม่จบไปสิ้น
ในเมื่อชีวิตคนเราเต็มไปด้วยตัณหาไม่จบไปสิ้น เราควรมีสติรู้ให้เท่าทันตัวเอง รู้จักลิมิตและขอบเขต มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่บ้าคลั่งไม่รู้จักพอ คนเรามีเวลาเท่าๆกัน และเวลาจะมีค่าอะไรถ้าเราไม่รู้จักจัดสรรมันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ถ้าเราไม่รู้จักจัดการกับสิ่งที่เรามีให้ดีก่อน เราจะมีมากกว่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อแค่ตอนนี้ยังจัดการไม่ได้เลย จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด หมั่นจัดสรรเวลาให้คนที่เรารักและรักเราบ้าง ชีวิตเราอาจจะมีความหมายมากขึ้นโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากไปกว่านี้ก็ได้
10. ยอดเยี่ยม คือ 100% นอกจากนั้น ยังไม่ใช่
คนเรามักคิดว่าคนที่สำเร็จมักมีทางลัด ทั้งๆที่เขาบอกว่าเขาทำงานหนักและเขาใช้เวลากว่าจะมาถึงจุดนี้
แต่เราก็มักจะไม่เชื่อและคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เพราะเราก็ทำงานหนักเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เห็นได้แบบเขา คนเราเข้าใจว่าการจะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม คือการทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จริงๆแล้ว การทำงานหนักในแบบของคนประสบความสำเร็จ ไม่ได้วัดจากเวลาที่ลงมือทำ
แต่เขาวัดจาก “คุณภาพของงาน” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาจะใช้เวลาและทรัพยากรทั้งหมดที่มีในแต่ละวันให้ดีที่สุด ทุกวันต้องยอดเยี่ยม 100% ต่ำกว่านี้คือ ไม่ได้ตามที่คาดหวัง และนั่นเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จอย่างใจอยากสักที เพราะเราก็ขยันมากๆ เราทุ่มเทมากๆ แต่มันผิดจุดเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราคิดว่าเราทุ่มเทแล้วด้วยความเหนื่อยยาก มันอาจให้ผลลัพธ์แค่ 50% ในขณะที่คนที่คนอื่นเขาอาจดูไม่เหนื่อยเท่าเรา แต่เขาทำงานได้ยอดเยี่ยม 100% ซึ่งเขาไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรหรอก เขาก็แค่ทำสิ่งที่เขาต้องทำ เพียงแต่เราแค่ทุ่มเทผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง หลักของการทำงานให้มีประสิทธิภาพคือ ความสม่ำเสมอ การลงมือทำสิ่งใดก็ตามแต่ทำนานๆครั้ง ผลก็จะไม่เทียบเท่ากับการทำให้เต็มที่อยู่สม่ำเสมอ
มีการวิจัยบอกว่าถ้าเราทำสิ่งใดแบบเดิมๆซ้ำๆติดต่อกันเกิน 30 วันขึ้นไป มันจะกลายเป็นนิสัยของเรา ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้เรามีนิสัยที่อยากแก้ไข หรือต้องการสร้างนิสัยดีๆให้ตัวเราใหม่ ลองใช้กฎ 30 วันดูก็ได้ ปรับแบบแผนการใช้ชีวิตใหม่ แรกๆอาจทำได้ยากมาก เพราะเรายังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิม แต่เมื่อเราฝืนใจทำมันไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเคยชิน และทุกอย่างจะง่ายขึ้น ผลลัพธ์ใหม่ในด้านบวกก็จะตามเรามาในที่สุด
นี่คือบทเรียนที่คนลาออกหลายคนได้ค้นพบ การเปลี่ยนแปลงอาจสร้างความรู้สึกแย่ แต่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้แย่เสมอไป อยู่ที่เราเรียนรู้และนำความเปลี่ยนแปลงนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเองให้สูงสุด
ที่มา careersblog
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น