เงินได้เลี้ยงชีพหลังเกษียณจากการออมผ่านแหล่งเงินออมระยะยาว


ในขณะที่คนไทยมีชีวิตยืนยาวมากขึ้น  สิ่งที่เป็นความกังวลใจก็คือ เงินได้เลี้ยงชีพสำหรับชีวิตหลังเกษียณ  การออมสะสมในวัยทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น      สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการออมในวันนี้     ประเด็นคำถามที่สำคัญ   ก็คือ ออมอย่างไรจึงเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในวัยหลังเกษียณ   บทศึกษานี้  ใช้อัตราทดแทนรายได้ร้อยละ  50 *  เป็นดัชนีชี้วัดความเพียงพอ    และประมาณอัตราทดแทนรายได้ที่ผู้ออมจะได้รับภายหลังเกษียณอายุภายใต้กรณีการออมต่าง ๆ  เพื่อเป็นแนวทางการวางแผนการออม      ทั้งนี้   อัตราทดแทนรายได้  หมายถึงสัดส่วนเงินได้เลี้ยงชีพที่ผู้ออมจะได้รับในวัยหลังเกษียณอายุเทียบต่อรายได้เฉลี่ยในช่วงก่อนเกษียณอายุ


           ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราทดแทนรายได้ที่จะได้รับในอนาคตมีหลายปัจจัย    ที่สำคัญๆ  ได้แก่   อัตราออม   (ในบทศึกษานี้ หมายความรวมถึงอัตราเงินออมของผู้ออมเอง  และอัตราเงินออมสมทบที่ผู้ออมได้รับจากนายจ้าง  และ/หรือรัฐบาล)     จำนวนปีของการออม    นโยบายลงทุนซึ่งกระทบต่ออัตราผลตอบแทน  จำนวนปีที่จะใช้เงินออมหลังเกษียณอายุ   การบริหารเงินออมในส่วนที่ยังไม่ใช้ในช่วงหลังเกษียณอายุ    เป็นต้น      บทศึกษานี้ประมาณอัตราทดแทนรายได้ที่ผู้ออมจะได้รับ    โดยกำหนดอัตราออมในช่วงร้อยละ 3 - 51    จำนวนปีของการออมแบ่งเป็น   3   กรณี      คือ  ออม   10 ปี   20  ปี   และ 30  ปี     ในขณะที่นโยบายลงทุนแบ่งเป็น   3   กรณี  คือ  นโยบายลงทุนตราสารทุน   ตราสารหนี้  และตลาดเงิน   ภายใต้ข้อสมมติฐานว่า  จำนวนปีที่ผู้ออมจะใช้เงินออมหลังเกษียณอายุเท่ากับ   25  ปี   และการบริหารเงินออมในส่วนที่ยังไม่ใช้หลังเกษียณอายุเป็นแบบลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ    
จากการประมาณการอัตราทดแทนรายได้ตามกรณีการออมต่าง ๆ   พบว่า  ผู้ออมระยะเวลา  10   ปี   ไม่สามารถจะบรรลุเป้าหมายอัตราทดแทนรายได้ร้อยละ   50  ในทุกกรณีการออมที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์    ผู้ออมระยะเวลา 20 ปี  มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนด  แต่มีข้อจำกัดระหว่างการเลือกนโยบายลงทุน  และอัตราออม  กล่าวคือ  ถ้าผู้ออมต้องการออมในอัตราประมาณร้อยละ 21  ผู้ออมต้องเลือกนโยบายลงทุนตราสารทุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการลงทุนสูง    แต่ถ้าผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการลงทุนต่ำ      ผู้ออมต้องออมในอัตราที่สูงมากร้อยละ 45     สำหรับผู้ออมที่มีระยะเวลาออม  30    ปี    มีโอกาสที่จะบรรลุอัตราทดแทนรายได้ที่เป็นเป้าหมายในหลายทางเลือก    ซึ่งทำให้ผู้ออมมีความยืดหยุ่นในการเลือกอัตราออม  และ/หรือนโยบายลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง     ในกรณีที่ผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารทุน  อัตราออมที่ต้องออมจะอยู่ในระดับต่ำมากที่ร้อยละ 9  และในกรณีที่ผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารหนี้   อัตราออมที่ต้องออมยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากที่ร้อยละ  27   นั่นคือ ผู้ออมที่วางแผนการออมในระยะยาว  30  ปี จะเป็นกลุ่มที่สามารถบรรลุเป้าหมายอัตราทดแทนรายได้ที่วางไว้ง่ายกว่า  และมีความแน่นอนมากกว่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์จริงคนขึ้นศาลคดี Easybuy

แนวทางรับมือเมื่อได้รับหมายศาลแบบบ้านๆ โดยคุณแก้วจ๋า ชมรมหนี้บัตรเครดิต

หมายศาลจะถุกส่งไปที่ไหน