ปลดหนี้บัตรเครดิต

มผ่านมาทุกอารมณ์ เกือบๆทุกเหตุการณ์อันเป็นผลกระทบมาจากปัญหาหนี้ ล้วนเจอะเจอคล้ายกับหลายๆท่านครับ ต่างกรรมต่างวาระ ว่ากันไป

มาถึงวันนี้ วันที่ผมได้อิสรภาพ เป็นไทแล้ว
ตลอดระยะทางการต่อสู้แก้ไขกับปัญหา ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเยอะแยะมากมาย
จึงอยากจะขอมาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับท่านที่ยังประสบปัญหาอยู่ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ พอสรุปได้ดังนี้ครับ

1.) สาเหตุของการเป็นหนี้ คือความพ่ายแพ้ต่อ "กิเลส"ตน บวกกับ "การขาดวินัย"ในการจัดการเรื่องเงินทอง
อยากเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า เงินทองต้องใส่ใจ ต่อไปอย่าได้ประมาทเรื่องเหล่านี้ อย่าได้โทษใครเลย โทษตัวเองแหละครับ

2.) เมื่อเป็นหนี้แล้ว อย่าเพิ่มหนี้มาแก้หนี้ เพราะจะยิ่งทำให้หนี้พอกพูน ผมจากหนี้หลักไม่กี่แสนกลายมาเป็นหนี้หลักล้านเพราะใช้วิธีนี้

3.) ตั้งสติและยอมรับความจริงเกี่ยวกับสถานภาพการเงินของเราให้ได้ เอาชีวิตประจำวันและครอบครัวเราให้รอดก่อน อย่าหลอกตัวเอง
ตรงนี้สำคัญมาก เพราะมันจะได้ให้เราจัดการปัญหาได้เร็วขึ้น

4.) หากคำนวณภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแล้วไม่เพียงพอต่อการใช้หนี้ ให้หยุดจ่ายหนี้ไปเลย
อย่าไปกลัวเรื่องติด Blacklist เครดิตบูโร เพราะตรงจุดนี้มันจะทำให้เราสามารถเก็บเงินที่เหลือบางส่วนได้เป็นก้อนเพื่อ ไปต่อรองชำระหนี้

5.) ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับพวกทวงหนี้ หากสถานการณ์ตอนนั้นเรายังไม่พร้อมจ่าย เพราะยิ่งคุย สุขภาพจิตเรายิ่งเสีย ไม่เกิดประโยชน์
พวกนี้ถูกฝึกถูกสอนทางจิตวิทยามาเพื่อให้เราเกิดความกลัวหรือความอาย มันเป็นงานเค้า แต่เราต้องดึงตัวเองออกมาจากเกมส์นั้นให้ได้

6.) ผมหยุดจ่ายทุกบัญชีพร้อมกันรวม 10 บัญชี ตั้งแต่ปี 2550
จัดการทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจัง หารายได้เสริม ( รายได้ -เงินออม =รายจ่าย) ต้องแบบนี้เท่านั้นถึงจะได้ผลเก็บเงินได้
จากนั้นทยอยเจรจาจ่าย Hair cut เคลียร์ที่ละรายที่เราสามารถจ่ายได้ก่อน
ในช่วง 2 ปีแรกปิดได้ 6 บัญชี แต่อีก 4 บัญชีหลังทยอต่อรองและปิดมาเรื่อยๆ รวมใช้ระยะเวลาถึง 7 ปีถึงสามารถปิดได้บัญชีสุดท้ายได้ โล่งสุดๆเลยครับ

7.) ขอยืนยันว่าการ Hair cut เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดกว่าการปรับโครงสร้างหนี้ ครับ
บางบัญชีผมต่อรองได้ถึง 70% บางบัญชีได้ 30% มากน้อยขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่ายที่สามารถตกลงกันได้ แต่โดยรวมแล้วการ Haircut มักจะไม่เกิน 50% ยอดหนี้รวม
ผมว่าได้แค่นี้ก็หรูแล้วนะครับ ยิ่งเคลียร์หมดเร็ว ยิ่งสบายใจเร็ว ไม่ต้องรอให้ได้ส่วนลดถึง 60-70% เสมอไปหรอก ของผมยอดเงินชำระหนี้ล้านกว่าๆ สุทธิอยู่ที่ประมาณ 5 แสนกว่าบาท

8.) การถูกฟ้องศาล เท่าที่ผ่านมาผมก็เคยไปขึ้นศาลแต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์หรือส่วนลดมากมายอะไร เพราะศาลท่านตัดสินไปตามหลักฐานที่ส่งเข้าไป ทำให้เสียเวลา เสียเงินค่าทนายเพิ่มไปอีก
ดังนั้นหลังๆหากมีฟ้องศาลผมก็ไม้ไปแล้ว ให้ศาลท่านตัดสินไปเลย ต่อให้มีผลตัดสินออกมาแล้ว ก็สามารถต่อรอง Hair cut กับเจ้าหน้ได้อยู่ดีครับ
อย่างที่บอกมันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย

9.) กรมบังคับคดี ส่งเรื่องมายังบริษัทเพื่ออายัดเงินเดือน อันนี้ก็เจอมาแล้วแต่ยังไม่ถูกอายัดนะครับ
ให้เรารีบประสานกับฝ่ายกฏหมายของบริษัทเราเพื่อให้เค้าชลอเรื่องก่อนส่งไป ฝ่ายบุคคล จากนั้นให้เรารีบมาดำเนินการต่อรองเคลียร์กับเจ้าหนี้รายนี้ให้เร็วที่สุด ก่อน
แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะยอมให้อายัดไปก็ได้เพราะยังไงก็อายัดได้ไม่เกินกฏหมายกำหนด แต่สำหรับคนเงินเดือนสูงๆ ผมว่าอย่าให้อายัดเลยครับ รีบต่อรอง haircut จะดีที่สุด เพราะหากถูกอายัดจะเท่ากับเราต้องจ่ายหนี้ก้อนนั้นเต็มๆ เสียดายตังค์ครับ

10.) แปลงสินทรัพย์ที่ยังไม่จำเป็นให้เป็นเงินก่อน เพื่อมานำมาต่อรองชำระหนี้
ยิ่งหมดหนี้เร็วยิ่งสบายใจเร็ว อย่าไปยึดติดกับวัตถุสิ่งของมากมายเลยนะครับ หากหมดหนี้สินแล้ว ทรัพย์สมบัตินอกกายเหล่านี้เราก็สามารถหาใหม่ได้ครับ

11.) เอกสารหนังสือยืนการต่อรอง hair cut โดยส่วนใหญ่จะได้ หนังสือยืนยัน 2 ฉบับ
ฉบับแรก คือ หนังสือยืนยันการเจราต่อรองยอดเงินที่จะปิด และภายในระยะเวลาเท่าไหร่
ท่านต้องได้หนังสือยืนยันก่อนเท่านั้น ถึงจะไปชำระเงินนะครับ หากยังไม่มีหนังสือมา ห้ามชำระเงินเข้าไป เดี่ยวจะกลายเป็นชำระขั้นต่ำ สำคัญมากนะครับ
ฉบับที่สอง หนังสือยืนยันการปิดบัญชี โดยส่วนใหญ่จะได้รับภายใน 15 วันหลังจากชำระเงิน
ตรงนี้ต้องเน้นย้ำ จดชื่อเบอร์โทรเจ้าหน้าที่ที่เราเจรจาไว้ให้ดี หากไม้ได้ตามนัดจะได้ติดต่อทวงถามได้ สำหรับผม ทุกกรณีไม่เคยเกิน 15 วัน

12.) เชคเครดิตบรูโรบ้าง ก็เป็นการดีนะครับ
เพราะจะได้รู้ว่าเราเหลือค้างเจ้าหนี้รายไหนบ้าง ยอดสุทธิเป็นเท่าไหร่
ทุกวันนี้สถาบันการเงินมีการขายหนี้ให้กันไปมาครับ เราจะได้ไม่งง หากวันไหนมีการโทรมาทวงจากเจ้าหน้าที่ จากสถาบันที่เราไม่เคยกู้ไงครับ


ยอมรับว่าช่วงแรกๆประมาณ 3-4 เดือนทีอยู่วังวนกับปัญหาหนี้ เจอทางตันไม่เจอทางออก มันทุกข์มาก
(ทั้งถูกโทรข่มขู่ ส่งคนมาดักที่ทำงาน โทรมาเวลาพักผ่อน วันหยุด โทรติดต่อฝ่ายบุคคลบริษัทเพื่อหวังกดดันให้กลัวและอับอาย)
เพราะในช่วงก่อนหน้านี้รัฐยังไม่มีการคุมเข้มการทวงหนี้มากนัก แต่มาภายหลังมีกฏหมายมาควบคุมให้เข้มขึ้นเน้นสิทธิส่วนบุคคลมากข้น จึงทำให้การทวงหนี้ภายหลังดีกว่าแต่ก่อนเยอะมากครับ

พอตั้งสติได้ ค้นหาวิธีแก้ไข ซื้อหนังสือจัดการหนี้ต่างๆมาอ่าน ได้มาเจอเวบชมรมหนี้บัตรเครดิต ทำให้พบทางสว่างของการจัดการปัญหาหนี้
สามารถใช้ชีิวิตได้ปกติสุขท่ามกลางหนี้สินครับ คิดแค่เพียงว่าเราต้องเคลียร์ได้แน่นอน ช้าเร็วตามความพอดีของชีวิต
ชีวิตเรายังมีเรื่องที่ต้องสนใจ ต้องดูแล ให้ความสำคัญอีกเยอะครับ หนี้เป็นเพียงบททดสอบหนึ่ง แต่อย่าให้มันเป็นทั้งหมดของชีวิตนะครับ
เราเป็นหนี้สุดท้ายเราก็ต้องชดใช้ เราไม่ได้ทำผิดกฏหมายหรือเป็นอาชญากรนะครับ
ดังนั้นอย่ากลัว อย่าอาย ยิ้มสู้กับความจริงนะครับ
ผมกล้าพูดได้เลยว่า 6 ปีช่วงที่แก้ไขปัญหาหนี้ ผมใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มันอยู่ที่มุมมองชีวิตครับ (มีเพียงปีแรก จะยังทุกข์ กังวล สับสน กลัวต่างๆนานาไป)

ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านในที่นี้มากๆครับ ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ ให้กำลังใจกันและกัน
ขออวยพรให้ท่านที่ยังมีหนี้อยู่ สามารถปลดหนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว และพบหนทางแห่งอิสระ

Freedom Way
โชคดีครับผม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประสบการณ์จริงคนขึ้นศาลคดี Easybuy

แนวทางรับมือเมื่อได้รับหมายศาลแบบบ้านๆ โดยคุณแก้วจ๋า ชมรมหนี้บัตรเครดิต

หมายศาลจะถุกส่งไปที่ไหน