ข้อคิด...สำหรับผู้ที่อยากเป็นเกษตรกร โดยคุณสวนวสา
ท่านใดที่คิดจะทิ้งการงานในเมือ ง แล้วกลับไปเป็นเกษตรกรที่บ้านนอ ก ลองอ่านข้อแนะนำของสวนวสา จากเว็บเกษตรพอเพียงดอทคอมดูนะค รับ
ข้อคิด...สำหรับผู้ที่อยากเป็นเ กษตรกร โดยคุณสวนวสา
เรียน ว่าที่เกษตรกร เกษตรกรมือใหม่เอี่ยม และเกษตรกร part-time ทุกท่าน
จากที่เราได้คุยกับว่าที่เกษตรก รและเกษตรกรมือใหม่หลายท่านที่ม าติดต่อซื้อเมล็ดพันธุ์ กิ่งพันธุ์ และท่อน้ำหยดจากสวนวสา ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ...เลยต้องขออนุญาตเขียนบทความนี้ข ึ้นมาเพื่อให้ว่าที่เกษตรกรและเ กษตรกรมือใหม่ไฟแรงหลาย ๆ ท่านลองพิจารณาเป็นข้อคิดก่อนจะ ลงมือทำอะไรไป เพราะการลงทุนในสาขาการเกษตรนั้ น ไม่ว่าจะเพื่อหวังผลกำไร หรือแค่หวังเพื่อใช้เวลาว่างทำง านอดิเรกปลูกต้นไม้ ทุกอย่างที่ลงไปก็เป็นเงินทองที ่เราเก็บหอมรอมริบมาทั้งนั้น หากลงทุนไปโดยขาดการไตร่ตรองล่ว งหน้า หรือขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ เมื่อเกิดผลเสียหาย ผลขาดทุน ความยุ่งยากที่ตามมามักทำให้เกษ ตรกรมือใหม่หลายคนท้อแท้ และเลิกไปในที่สุด ซึ่งทางสวนวสาไม่อยากให้เป็นเช่ นนั้น เราไม่อยากให้อาชีพเกษตรกรหายไป จากประเทศไทย ตรงกันข้ามเราอยากให้มีเกษตรกรร ุ่นใหม่เกิดขึ้นมามาก ๆ คนที่มีการวางแผน มีการควบคุมผลผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งอาหา รที่มีคุณภาพของโลก
ที่ดิน
การจะเริ่มทำการเกษตรได้นั้นเรา ควรมีที่ดินเป็นของตัวเอง แต่ก่อนจะลงมือซื้อที่ดินผืนใด ขออนุญาตให้ข้อคิดเกี่ยวกับปัจจ ัยที่สำคัญก่อนซื้อที่ดินเพื่อท ำการเกษตร ดังนี้
1. ในที่ดินต้องมีแหล่งน้ำหรือติดก ับแหล่งน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ท ั้งปี เพราะการซื้อที่ดินที่ไม่มีน้ำ ก็เท่ากับไม่มีประโยชน์ในเชิงเก ษตร แหล่งน้ำที่ว่านี้อาจจะเป็นคลอง ชลประทาน อ่างเก็บน้ำ คลองธรรมชาติ แม่น้ำ ฯลฯ ถ้าเป็นที่ผืนใหญ่ไม่ควรเป็นน้ำ บาดาล เพราะอาจมีปริมาณไม่พอเพียง และอาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับก ารจัดการตะกอนในภายหลัง
2. ที่ดินควรใกล้กับถนน และไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ประจำขอ งคุณมากนัก การไปมาทำได้ง่าย เมื่อการเดินทางสะดวก ก็ทำให้เรารู้สึกอยากไปเยือนบ่อ ย ๆ โดยเฉพาะเกษตรกร part-time ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไปทำ สวนได้เฉพาะวันหยุด หากคุณต้องขับรถ 500 กม. เพื่อไปสวนในวันเสาร์ และขับกลับอีก 500 กม. ในวันอาทิตย์ คุณจะเหนื่อยและท้อไปในที่สุด ระยะทางที่เหมาะสมน่าจะไม่เกิน 200 กม. จากบ้านคุณ อย่างไรก็ตามปัจจัยเรื่องระยะทา งนี้ขึ้นกับทุนและความชอบส่วนบุ คคล นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็เป็นปัจจัยสำคัญด้ว ย คำนวณค่าน้ำมันคร่าว ๆ ว่าระยะทาง 200 กม. รถคุณกินน้ำมันเฉลี่ย 8 กิโลลิตร น้ำมันลิตรละ 30 บาท ไป-กลับ จะมีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าน้ำมัน 1,500 บาทต่อเที่ยว เดือนหนึ่งไป 4 ครั้งก็ประมาณ 6,000 บาท ปีละ 72,000 บาท เทียบกับราคาที่ดินที่อาจจะแพงก ว่าแต่ใกล้กว่า อย่างไหนคุ้มกว่ากัน อันนี้ควรคำนวณให้รอบคอบค่ะ
3. ที่ดินควรใกล้ตลาดหรือชุมชน หรือผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อที่จะสามารถขนส่งผลผลิตเพื ่อจำหน่ายได้โดยง่าย (หากคิดจะปลูกเพื่อจำหน่าย) เช่น อยากปลูกมะม่วงส่งออกแต่ผู้ปลูก อยู่ภาคใต้ ส่วนผู้ส่งออกอยู่ภาคเหนือและภา คกลาง อย่างนี้ ถ้าปลูกไม่มากพอก็จะไม่มีผู้ซื้ อวิ่งไปซื้อแน่ ๆ ค่าน้ำมันทุกวันนี้แพงมาก ๆ ค่ะ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผู้ซื้อม ักจะถามก่อนว่าปลูกกี่ไร่ กี่ต้น ผลผลิตกี่ตัน (ถ้าไม่ถึง 4-5 ตัน ส่วนมากรายใหญ่เขาไม่วิ่งมาค่ะ)
4. ควรมีเพื่อนบ้านและสังคมที่ดี ก่อนซื้อที่ดินควรลองไปสำรวจดูว ่าเพื่อนบ้านมีอัธยาศัยเป็นอย่า งไร ที่ดินบางผืนราคาถูกเพราะเพื่อน บ้านขี้ขโมย ผลผลิตอะไรออกมาหายหมด ติดตั้งปั๊มน้ำก็หาย บางทีเผลออาทิตย์เดียวบ้านทั้งห ลังรื้อเอาไปขายก็มี ลองไปถามสถานีตำรวจในพื้นที่ดูว ่าคดีลักขโมยมีแยะไหม ใครเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และทัศนคติเขาเป็นอย่างไร
5. ที่ดินควรมีต้นไม้ขึ้นอยู่ในที่ บ้าง เพื่อแสดงว่าดินที่นี่ปลูกต้นไม ้ได้ บางคนไปซื้อที่ดินที่เตียนโล่งแ ม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้น แล้วมาดีใจว่าไม่ต้องถางหญ้าปรั บที่ดิน ซึ่งแท้ที่จริงเป็นดินเค็มที่เพ าะปลูกอะไรไม่ได้ หากเป็นไปได้ลองสังเกตด้วยว่าต้ นไม้ที่ขึ้นในที่ดินนั้นเป็นต้น อะไรเพื่อจะได้ทราบว่าที่ดินผืน นั้นเพาะปลูกผลไม้ชนิดใดได้ดีที ่สุด
6. ที่ดินทำสวนเกษตรส่วนใหญ่ควรเป็ นพื้นราบ เพราะหากเป็นที่ลาดชันเวลารดน้ำ ต้นไม้ น้ำจะไหลลงเบื้องล่างหมด หากต้องทำขั้นบันไดก็จะเสียค่าใ ช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าที่ดินผืนรา บ แต่หากจะปลูกไม้ยืนต้นพวกไม้ป่า ก็เป็นที่เนินเขาได้ค่ะ ทั้งนี้ขึ้นกับพืชที่เลือกจะปลู ก
7. ไม่ควรเป็นที่น้ำท่วมขัง ที่ดินบางผืนในช่วงฤดูฝนจะตรงกั บแนวน้ำท่วมพอดี อย่างนี้ปลูกพืชอะไรก็ตายหมด เลี้ยงปลาก็หายหมด
8. ให้สำรวจหน้าดินของที่ดินที่ซื้ อด้วยค่ะ พอดีวันนี้มีเพื่อนเกษตรกรโทรมา ปรึกษา มีที่ดินแต่หน้าดินที่ปลูกพืชได ้มีเพียง 2-3 เมตรลึกลงไปกว่านั้นกลายเป็นดิน ผสมหินแบบแข็งเลย รากพืชชอนไชลงไปไม่ได้ อย่างนี้คงต้องปลูกพืชที่มีระบบ รากไม่ลึกมากค่ะ
การเลือกพืชที่จะเพาะปลูก
1. ก่อนจะปลูกอะไร กรุณาสำรวจสภาพดินและน้ำก่อนว่า เหมาะกับพืชในใจคุณหรือเปล่า อย่าบุ่มบ่ามลงมือปลูกตามกระแส หรือตามใจชอบ ตัวอย่างเช่น ที่ดินสวนวสาเป็นดินเปรี้ยวเพาะ ปลูกพืชตระกูลส้ม-มะนาวได้ดี มะม่วง มะละกอได้ แต่ปลูกทุเรียน ลำไย มังคุดแล้วไม่โต (ลองแล้ว) ถึงกระนั้นก็ตามเวลาเรามี “เกษตรเกิน” (ผู้ที่แสดงตนว่ารู้มากกว่าเกษต รกร) มาเยี่ยมที่สวนก็มักจะแนะนำให้เ ราลองปลูกมังคุด ปลูกทุเรียนอยู่เสมอ ๆ เพราะส่งนอกได้ราคาดี คนแนะนำส่วนใหญ่ก็คิดแค่นั้น แต่เกษตรกรที่แท้จริงที่เป็นเจ้ าของที่ดินควรศึกษาสภาพดินและน้ ำก่อนลงมือปลูกอะไร เพื่อจะได้ประหยัดเวลาและทุนที่ ถมลงไป
2. ควรเลือกพืชที่จะปลูกมากกว่า 1 ชนิดเพื่อบริหารความเสี่ยง เผื่อชนิดหนึ่งราคาตกหรือขายไม่ ออก ชนิดอื่นจะได้ช่วยเฉลี่ยรายได้ แต่ไม่ควรหลายชนิดเกินไปจนปริมา ณไม่คุ้มค่าขนส่ง เช่น มีที่ดิน 1 ไร่ แต่อยากปลูกมะม่วง มังคุด ลำไย มะนาว พริกขี้หนู เพื่อส่งออก แบบนี้แนะนำว่าให้ลืมเรื่องส่งอ อกไปได้เลย ให้ปลูกแบบพอเพียง คือเก็บทานเอง หรือส่งตลาดแถวสวนจะดีกว่าค่ะ
3. พืชแต่ละชนิดมีความต้องการน้ำไม ่เท่ากัน หากจะปลูกผสมผสาน ควรเลือกพืชที่ต้องการน้ำ ปุ๋ยและยาคล้าย ๆ กันปลูกไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ปริมาณแสงก็เป็นสิ่งสำ คัญ หากพืชชนิดหนึ่งต้องการแสงมาก ก็อย่าปลูกไว้ใกล้ ๆ กับพืชที่ให้ร่มเงา เช่น อย่าปลูกมะละกอไว้ใกล้กอไผ่ เพราะในที่สุดร่มเงาของไผ่จะบัง มะละกอทำให้ไม่สามารถเติบโตได้ และเกิดโรคระบาดในที่สุด หรือ หากจะปลูกมะนาวทำนอกฤดู ก็ไม่ควรปลูกใกล้กับพืชที่ต้องก ารน้ำ เพราะพอเรางดน้ำเพื่อให้มะนาวออ กดอก ต้นไม้ข้าง ๆ ก็จะตายไปด้วย ทำนองนี้
4. ตามทฤษฎีพอเพียง ควรปลูกพืชชนิดให้ประโยชน์เกื้อ หนุนกับการเกษตรของท่านด้วย เช่น หากปลูกส้มหรือมะนาว ก็ควรเผื่อพื้นที่สำหรับปลูกไผ่ ไว้ด้วย เพราะเวลาค้ำต้นมะนาวหรือส้มต้อ งใช้ไม้ไผ่ แทนที่จะไปซื้อ ก็ปลูกเองประหยัดกว่า นอกจากนี้หากใครคิดทำเกษตรอินทร ีย์ ก็ปลูกพวกสะเดา หนอนตายหยาก หรือสมุนไพรอื่น ๆ ไว้ด้วย จะได้เอาไว้ทำเกษตรอินทรีย์ได้ง ่ายค่ะ
5. นอกจากนี้ ให้คิดในใจเสมอว่า พื้นที่แต่ละพื้นที่มีลักษณะภูม ิศาสตร์ที่แตกต่างกัน อย่าคิดว่าการลอกเลียนแบบสวนที่ ประสบความสำเร็จแล้วคุณจะประสบค วามสำเร็จด้วย การเกษตรไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูปท ี่ต้มกินที่ไหนก็รสชาติเดิม มักจะมีคนถามว่าหากปลูกมะนาวเหม ือนสวนวสาต้องใส่ปุ๋ยเดือนไหน ฉีดยาเดือนไหน ฉีดอะไร ซึ่งขอเรียนว่า สวนวสาอยู่นครนายก สภาพภูมิอากาศและดินจะต่างจากสว นที่อยู่ราชบุรี พิษณุโลก หรือ เชียงใหม่ ดังนั้นเวลาที่ฉีดยา ใส่ปุ๋ย เก็บผลผลิตก็จะต่างกัน ช่วงเวลาเดียวกันที่สวนวสาเจอโร คราน้ำค้างแต่สวนอื่นอาจเจอเพลี ้ยแป้ง อย่างนี้ยาที่ใช้ก็ต่างกัน ต้องหมั่นสังเกตอาการของพืชแล้ว ค่อยคิดเรื่องการบำรุงรักษาพืชค ่ะ
การตลาด
1. การจะปลูกอะไร (เพื่อการค้า) ให้คิดว่าจะขายได้ที่ไหนก่อน ถ้าปลูกพืชแปลกมากและอยู่ไกลจาก ตลาด จะทำให้ขายยากค่ะ
2. อย่าเห่อปลูกตามกระแส เกษตรกรที่ดี ควรประเมินสภาพตลาดให้ดีด้วย และอย่าดูเหตุการณ์เพียงจุดเดีย ว ช่วงปีที่แล้วมะนาวลูกละ 10 บาท เลยเกิดกระแสปลูกมะนาวกันใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น 5 ปีมีคนฟันมะนาวทิ้งไปทั้งจังหวั ดเพราะราคาร้อยละ 20 บาท ไม่คุ้มค่าปุ๋ยค่ายา อยากให้เกษตรกรมองไปข้างหน้ายาว ๆ ก่อนตัดสินใจปลูกอะไร ให้เน้นพืชที่ยังไงก็ขายได้
3. หากสนใจจะปลูกเพื่อการส่งออก ควรมีพื้นที่เพาะปลูกในจำนวนมาก เกินกว่า 10 ไร่ หากมีน้อยกว่า 10 ไร่ ปลูกขายในประเทศได้ แต่ปลูกส่งออกไม่คุ้มการลงทุนค่ ะ (เว้นแต่ในพื้นที่มีการรวมกลุ่ม เกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดเดียวกันไ ด้จำนวนมากพอที่ผู้ส่งออกจะสนใจ ) มีระบบน้ำที่สม่ำเสมอ ที่ดินควรอยู่ไม่ไกลจากแหล่งส่ง ออก เกษตรกรต้องจดมาตรฐาน GAP ซึ่งมีกฎค่อนข้างมาก ต้องมีโรงเก็บปุ๋ย ยา แยกกัน มีโรงคัดแยกพืชผลที่แยกต่างหาก มีพื้นปูนไม่สัมผัสดิน ฯลฯ พวกนี้เป็นการลงทุนทั้งนั้นค่ะ ดังนั้นหากพื้นที่ใหญ่หน่อยจะคุ ้มกว่าพื้นที่ขนาดเล็กค่ะ
4. อย่าพยายามคิดการณ์ใหญ่เกินไปค่ ะ จะสิ้นเปลืองทุนทรัพย์โดยใช่เหต ุ เช่น ปลูกมะม่วงเพียง 5 ไร่ ผลผลิตปีละ 1 ตัน ในพื้นที่ก็ไม่มีคนอื่นเพาะปลูก พืชเหมือน ๆ กัน แต่คิดจะตั้งโรงงานแช่แข็ง หรือ โรงงานแปรรูปทำมะม่วงอบแห้ง หรือ คิดจะไปเซ้งแผงในตลาดไทเพื่อขาย ผลผลิตของตนเอง (เพราะมีเกษตรเกินมาแนะนำ) พอขายผลผลิตหมดก็ไม่รู้จะหาผลผล ิตที่ไหนมาขายต่อ หรือแปรรูปต่อ จะเป็นการลงทุนโดยเสียเปล่าค่ะ หรือ การส่งสินค้าเข้าห้างก็เหมือนกั นค่ะ ควรศึกษาเงื่อนไขให้ถ่องแท้ค่ะ บางทีนอกจากโดนหักเปอร์เซนต์แล้ วเราต้องรับภาระสินค้าที่เน่าเส ียหายเอง แถมกว่าจะเก็บเงินได้ต้องมีเครด ิต 45 วันจึงจะได้เงิน นอกจากนี้ บางที่เขามีสัญญาให้ส่งแบบต่อเน ื่อง หากส่งไปครั้งสองครั้งแล้วหยุดก ็อาจโดนหักเงิน ทำนองนี้
5. อยากให้อ่านความเห็นของคุณ GolfMBA ที่เขียนไว้น่าสนใจใน http://www.kasetporpeang.com/ forums/ index.php?topic=5609.msg91870#m sg91870 ด้วยค่ะ
การเตรียมตัว/วางแผน
1. เมื่อมีที่ดินแล้ว มีทุนแล้ว ทราบว่าดินเป็นดินชนิดไหน เข้าใจสภาวะอากาศของพื้นที่แล้ว เลือกพืชที่เหมาะกับพื้นที่ได้แ ล้ว เราก็เริ่มวางแผนกันค่ะ อยากให้เกษตรกรทุกคนวางแผนบนกระ ดาษก่อนว่าจะแปลนสวนของตนเองอย่ างไร บ้านจะอยู่ตรงไหน บ่อน้ำ (ถ้ามี) จะอยู่ตรงไหน และส่วนไหนกะว่าจะปลูกพืชอะไร จำนวนกี่ต้น
2. ระบบน้ำเป็นสิ่งสำคัญค่ะ ก่อนจะลงพืชชนิดใด ๆ ระบบน้ำควรจะพร้อมก่อน หากพื้นที่เป็นสภาพเนินเขา ก็ไม่เหมาะกับการทำระบบร่องน้ำท ี่มีน้ำหล่อแบบร่องสวนที่ทำกันใ นพื้นที่ราบ แต่ควรใช้การขุดทางระบายน้ำเพื่ อว่าหน้าฝนน้ำสามารถไหลลงมาได้โ ดยไม่เอ่อขังที่โคนต้นไม้ และใช้ระบบรดน้ำแบบตามท่อน้ำหยด หรือสปริงเกอร์ โดยอาจสูบน้ำไว้ที่สูงและปล่อยม าตามแรงดึงดูดโลก หรือใช้ปั๊มน้ำก็ได้ค่ะ ส่วนพื้นที่ราบนั้นให้ศึกษาว่าร ะบบน้ำที่เราใช้เหมาะกับพืชหรือ ไม่ เช่น หากปลูกมะม่วง มะนาว ในดินเหนียวก็ไม่ควรใช้น้ำหยดแต ่ควรใช้สปริงเกอร์ เพราะระบบน้ำหยดจะหยดอยู่แค่วงแ คบ ๆ ในขณะที่รากพืชแผ่ขยาย แต่หากปลูกพวกพริกหรือมะเขือเทศ ในถุงก็สามารถใช้ระบบน้ำหยด (dripping) ได้ค่ะ เรื่องการบริหารน้ำนี้มีผลต่อกา รเติบโตของพืชและคุณภาพผลผลิตค่ ะ นอกจากนี้ มีเกษตรกรพาร์ทไทม์บางคนคิดว่าใ นช่วงเริ่มต้นไม่ต้องวางระบบน้ำ ก็ได้ พึ่งฝนฟ้าเอา และให้คนงานลากสายยางรดน้ำเอาก็ ได้ พื้นที่แค่ไร่สองไร่เอง ก็อยากให้ทดลองรดน้ำเองดูค่ะว่า เหนื่อยแค่ไหน และก็อย่าหวังผลให้มากค่ะหากพืช ผลออกมาไม่ได้ขนาด หรือร่วงไปแยะ หรือไม่ติดผล ซึ่งอยากให้คิดดีๆค่ะ ทีกิ่งพันธุ์เราไปอุตส่าห์เสาะห าจากแหล่งทั่วประเทศได้ ปุ๋ยหมักก็ไปเสาะหาส่วนประกอบต่ าง ๆ มา ลงทุนลงแรงไปมากมาย แต่มาประหยัดกับเรื่องน้ำ แล้วต้นไม้ก็แคระแกร็น มันคุ้มไหม
3. เมื่อระบบน้ำพร้อมแล้ว ก็มาถึงกิ่งพันธุ์ของพืชที่จะลง ค่ะ แนะนำให้ศึกษาจากเวบไซต์เกษตรพอ เพียงและหนังสือเกษตรต่าง ๆ ค่ะ ราคากิ่งพันธุ์พืชชนิดเดียวกัน อาจต่างกันตามผู้ขายค่ะ หากปลูกจำนวนมาก อยากให้ผู้ซื้อแวะไปที่สวนของผู ้ขายแต่ละรายค่ะจะได้สัมผัสกับต ้นพันธุ์ของจริง รู้ว่าแท้หรือไม่แท้ อย่าดูแต่ในรูปค่ะ เพราะหากปลูกพันธุ์ไม่แท้จะมีปั ญหาเรื่องการตลาดค่ะ นอกจากนี้ขอเรียนว่าราคากิ่งพัน ธุ์เป็นเงินลงทุนที่ต่ำที่สุดเม ื่อเทียบสัดส่วนกับต้นทุนรวมทั้ งหมดของการเกษตร อยากให้ผู้ซื้อพิจารณาหลัก ๆ ในเรื่องความเสี่ยงเรื่องความแท ้ของสายพันธุ์ บวกกับค่าน้ำมันที่ต้องไปเสาะหา กิ่งพันธุ์ที่ต้องการ ก่อนตัดสินใจค่ะ
4. การบำรุงรักษา เมื่อปลูกพืชลงไปแล้วแน่นอนว่าจ ะต้องมีการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ฉีดยา ตัดแต่งกิ่ง เก็บผลผลิต ตัดหญ้าที่รก ๆ ในแปลง รวมไปถึงการดูแลในกรณีฉุกเฉินต่ าง ๆ เช่น เครื่องสูบน้ำพัง ไฟฟ้าตัด น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง หนูแทะสายสปริงเกอร์ฯลฯ ดังนั้นหากท่านเป็นเกษตรกรเฉพาะ เสาร์อาทิตย์ ก็ต้องมีคนงานที่ไว้ใจได้ช่วยดู แลค่ะ และค่าใช้จ่ายส่วนบำรุงรักษานี้ ก็มากเสียด้วยสิ ที่สำคัญท่านต้องศึกษาหาความรู้ ด้านนี้พอควรค่ะ ไม่งั้นโดนหลอกน่าดู เช่น หากจะจ้างคนมาตัดหญ้าควรจ่ายเหม าต่องานที่สำเร็จไม่ใช่จ่ายรายว ัน เพราะบางทีก็มีอู้งานค่ะ
5. อุปกรณ์การเกษตร ที่จำเป็นต้องใช้ในสวนหลัก ๆ นอกจากพวกจอบ เสียม เครื่องมือพื้นฐานแล้ว ก็มีพวกเครื่องตัดหญ้า เครื่องฉีดยาแบบสะพายหลังหรือแบ บลาก ถังหมักหรือผสมปุ๋ย ตะกร้าสำหรับเก็บผลไม้ค่ะ อุปกรณ์การเกษตรพวกนี้เวลาซื้อใ ห้คุยหลายๆ ร้านค่ะ แต่ละร้านจะเป็นเอเย่นของแต่ละย ี่ห้อแตกต่างกัน ถามความเห็นเพื่อน ๆ ในเวบนี้ก็ได้ค่ะ แต่ละคนจะมีประสบการณ์ในอุปกรณ์ หลาย ๆ แบบค่ะ ควรเลือกให้เหมาะกับงานในสวนค่ะ ที่สำคัญ อย่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสีย ง่าย เช่น เครื่องตัดหญ้าแบบสะพายไหล่ ราคามันมีตั้งแต่ 1,000 กว่าบาท - 10,000 กว่าบาท ซึ่งต่างกันมาก ของถูกก็แน่นอนว่าคุณภาพก็ตามรา คา ตัดหญ้าสามวันก็อาจจะหลุดเป็นชิ ้น ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของแพงสุ ดจะดีที่สุดเสมอไป ให้ศึกษาจากเพื่อนเกษตรกรคนอื่น ดูค่ะ ที่สำคัญ เวลาซื้ออุปกรณ์พวกนี้ต้องหาที่ มีอะไหล่และศูนย์ซ่อมด้วยค่ะ บางยี่ห้อบอกว่าทนทานแต่คนเอามา ขายขายแต่เครื่องอย่างเดียวไม่ม ีอะไหล่ พอเสียก็ต้องทิ้งเลย นอกจากนี้หากมอเตอร์เสีย เครื่องตัดหญ้าเสียจะซ่อมที่ไหน ที่ใกล้ ๆ ไม่ต้องขนไปขนมาถึงกรุงเทพ ควรเตรียมข้อมูลแหล่งซ่อมที่เชื ่อถือได้ค่ะ ไม่งั้นโดยฟันเละค่ะ
คนงาน
1. ควรมีให้พร้อมค่ะ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากเกินไป เพราะคนงานก็คือคนงานค่ะ ถ้าเขาขยันและฉลาดกว่านี้ เขาก็ไม่มาเป็นคนงานค่ะ การดูแลคนงานให้อยู่กันนาน ๆ บางทีก็ต้องหลับตาข้างหนึ่งค่ะ บางทีเขาอาจจะกินเหล้า เล่นหวย อู้งานบ้าง ตราบใดที่งานที่สั่งไว้เขาทำสำเ ร็จ ก็พอไปรอดค่ะ ที่สำคัญคือต้องไว้ใจได้ ของในสวนอย่าหาย (อาจมีเก็บไปกินบ้างก็ปล่อย ๆ ไปค่ะ) แต่ประเภทยกมอเตอร์ไปขาย หรือให้เมียเปิดแผงที่ตลาดขายผล ไม้ที่ขโมยมาจากในสวนเรา อันนี้ก็ต้องให้จรลีไปค่ะ ที่สวนวสาอนุญาตให้คนงานปลูกพืช ผักที่อยากกินได้ตามสบาย หาเมล็ดผักมาให้เขาด้วย ผลไม้ในสวนหากอยากกินก็ให้เอาไป แต่พอกิน แต่ห้ามเอาไปขาย ให้จับปลาในร่องสวนมากินได้ แต่ห้ามจับไปขาย เว้นแต่คนงานจะลงทุนซื้อลูกปลาม าเลี้ยงในกระชังเองก็ให้ทำได้แต ่ต้องเลี้ยงนอกเวลางาน อยากเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ก็ให้เล ี้ยงได้ในพื้นที่จำกัด เขาจะได้เก็บไข่กินได้เอง แต่ไม่อนุญาตให้ทำเพื่อค้าขาย ไม่งั้นวัน ๆ เอาแต่บำรุงรักษาพืชผักเป็ดไก่ข องตัวเองจนไม่ได้ทำงานของเรา
2. ค่าจ้างคนงาน ส่วนมากเราใช้จ้างเป็นรายวันค่ะ แต่มีหัวหน้าคนงานที่เราจ่ายเป็ นรายเดือน ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 120-180 บาทค่ะ คนต่างด้าวจะได้ที่ราว ๆ 120-150 บาท คนไทยได้ที่ 150-180 บาทค่ะ หากเกิน 5 โมงเย็นก็จะมีค่าล่วงเวลาให้ (ช่วงที่เร่งเก็บผลไม้และคัดแยก น่ะค่ะ) บางทีคนซื้อผลไม้เราเขาก็จะจ่าย ค่าแรงให้คนงานเราในวันที่เก็บผ ลไม้ให้เขา เราก็ประหยัดไปได้ค่ะ เช่น การซื้อมะม่วงแบบเหมาสวน พ่อค้าจะมาพร้อมคนงานคัดแยก แล้วเขาจ้างเราเก็บผลไม้ให้ โดยให้ค่าแรงรายวันกับคนงานเราค ่ะ ค่าจ้างนี่เราอาจปรับขึ้นให้ปีล ะหน ปลายปีอาจมีเงินแถมให้นิดหน่อยไ ด้ค่ะ
3. วันหยุด คนงานไทยในต่างจังหวัดจะขอมีวัน หยุดตามวันสำคัญทางศาสนาค่ะ เช่น วันเข้าพรรษา วันทำบุญทอดกฐิน วันสงกรานต์ วันแต่งงานญาติ วันงานศพญาติ ฯลฯ เรื่องพวกนี้เราต้องปล่อยวางค่ะ เกษตรกร part-time หลายคนอาจไม่ค่อยพอใจเพราะตรงกั บวันหยุดยาวที่เราจะเข้าสวนได้พ อดีเช่นกัน ก็ต้องทำใจค่ะ นอกจากนี้ วันหวยออก เป็นวันที่คนงานไม่ค่อยมีกะจิตก ะใจทำงานกันเท่าไหร่ ดังนั้น พยายามอย่าคาดหวังมากค่ะ คุยกันให้เข้าใจตั้งแต่เริ่มงาน จะทำให้ความรู้สึกดีทั้งสองฝ่าย ค่ะ
การหาความรู้เพิ่มเติม
1. เป็นเกษตรกรต้องหมั่นหาความรู้เ พิ่มเติมอยู่เสมอค่ะ ซึ่งแหล่งความรู้ที่ง่ายที่สุด เร็วที่สุด และไม่เสียเงินคือการหาตามเว็บไ ซต์ แค่เข้าไปที่ google แล้วคีย์คำที่ต้องการทราบ เช่นคำว่า โรคมะนาว หรือ มะละกอใบหงิก ก็จะปรากฏรายการเว็บต่าง ๆ ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคำที่ท่านค ีย์เข้าไปมาให้ท่านได้ลองเข้าไป อ่าน หากไม่เจอข้อมูลที่ต้องการค่อยม าตั้งกระทู้สอบถามเพื่อน ๆเกษตรกรท่านอื่นเพิ่มเติมได้ค่ ะ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บอาจจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื ่อนไปบ้างแล้วแต่เว็บไซต์ที่เปิ ดเจอ เช่น เจอเว็บขายปุ๋ยข้อมูลที่ออกมาอา จชี้นำไปสู่การซื้อปุ๋ยยาของเขา ดังนั้น อยากให้เกษตรกรเชื่อข้อมูลในเว็ บไซต์ของทางการเป็นหลัก เช่น เว็บของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (http://www.ku.ac.th/) เว็บของกรมส่งเสริมการเกษตร (http://www.doae.go.th/) เป็นต้น เว็บเหล่านี้มีข้อมูลที่น่าสนใจ มากมายค่ะ หลายเว็บมีรูปภาพประกอบด้วย อยากให้เกษตรกรได้ลองขวนขวายหาค วามรู้ด้วยตัวเองจากหลาย ๆ แหล่งข้อมูลค่ะ จะได้คิดวิเคราะห์ได้รอบทิศ ดีกว่าการมาตั้งกระทู้ถามเพียงอ ย่างเดียว ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าผู้ตอบแต่ละ คนมีความรู้ในด้านนั้น ๆ จริงหรือไม่ บางเรื่องแม้ผู้ตอบมีความประสงค ์ดี แต่ตอบเอาตามที่นึก (เอาเอง) ว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้นโดยไม่ม ีประสบการณ์หรือหลักวิชาการสนับ สนุน แล้วเกษตรกรไปทำตาม ผู้ที่เสียหายคือเกษตรกรเองค่ะ
2. นอกจากเว็บไซต์แล้ว ก็มีหนังสือและวารสารเกษตรต่าง ๆ ที่สามารถหาอ่านเพิ่มความรู้ได้ ค่ะ เช่น วารสารเคหเกษตร วารสารเมืองไม้ผล วารสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เป็นต้น สวนวสาได้มีโอกาสไปเยือนสวนเกษต รต่าง ๆ เพื่อเสาะหาพันธุ์พืชที่ต้องการ ก็ใช้ดูเอาตามวารสารพวกนี้ค่ะ บางทีเขาก็มีการจัดอบรมให้ฟรี ๆ มีวิทยากรที่มีความรู้มาพูด มีเพื่อเกษตรกรที่มีประสบการณ์ม าแบ่งปันเทคนิค เราก็จะได้ประโยชน์ค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าวารสารทุกเล่มจะจัด งานได้ดี สวนวสาเคยไปร่วมงานหนึ่งเป็นการ อบรมครึ่งวัน แต่กว่าการกล่าวเปิดงานของบุคคล สำคัญต่างๆที่เชิญมาจะหมดก็ปาเข ้าไปเกือน 10 โมงแล้ว แล้วยังพักเบรคยาว ๆ ให้คนที่มาอบรมไปซื้อของที่สปอน เซอร์ต่าง ๆ มาออกร้านขาย ในที่สุดได้ฟังคนบรรยาย (แบบรีบๆ ให้จบ) แค่ไม่ถึงชั่วโมง เสียเวลาไปเหมือนกันค่ะ
3. หนังสือเกี่ยวกับคู่มือการเกษตร ต่าง ๆ รวมถึงผลงานวิจัยบางงานที่มีประ โยชน์ มีจำหน่ายที่ศูนย์หนังสือมหาวิท ยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ศูนย์หนังสือจุฬา ที่ร้านหนังสือแพร่พิทยา และตามงานเกษตรแฟร์ นอกจากนี้ ยังมีแจกให้ฟรีโดยกรมวิชาการเกษ ตร กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัด อำเภอ และหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน ลองติดต่อขอไปดูได้ค่ะ
ความต้องการ กับ ความเป็นจริง
ผู้ที่อยากเป็นเกษตรกรหลายท่านท ี่ทำงานประจำอยู่ ควรพิจารณาบริหารเวลา ครอบครัว และทุนทรัพย์ให้รอบคอบก่อนลงมือ ค่ะ บางทีเรามาอ่าน ๆ ในเว็บต่าง ๆ เห็นคนอื่นเขาซื้อที่ดินกัน ลงมือทำกัน ก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำบ้าง แต่นั่นอาจเป็นความต้องการของคุ ณคนเดียวหรือเปล่า ลองดูปัจจัยต่าง ๆ ต่อไปนี้ด้วยค่ะ
+ เวลา - คุณทำงานประจำในวันเสาร์อาทิตย์ หรือเปล่า เพราะการเป็นเกษตรกร part-time นั้นอย่างน้อยต้องมีเวลาเสาร์-อ าทิตย์ที่จะไปดูแลพืชผลที่ปลูกไ ด้ หรือหากทำงานส่วนตัว ก็ต้องถามว่าสามารถจัดเวลาได้หร ือเปล่าที่จะหาเวลาว่างแวะเวียน ไปดูแลการเติบโตของพืชผล และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลาย ๆ คนไฟแรงแต่ตอนแรก ๆ พอสักห้าหกเดือนผ่านไป ก็ทิ้งระยะเสียแล้ว จากทุกอาทิตย์ เป็นเดือนละหน เป็นสองเดือนหน ในที่สุดเหลือปีละหน อย่างนี้สิ่งที่ลงทุนไปก็จะเสีย เปล่าค่ะ การทำเกษตรนั้นคนทำต้องมีความรั บผิดชอบ (discipline) ที่ต่อเนื่องค่ะ ยิ่งถ้าที่ดินอยู่ไกลจากที่บ้าน หรือที่ทำงานมากๆ อย่างที่เขียนไว้แล้วด้านบน ว่าส่วนใหญ่เจอค่าน้ำมันและเวลา ขับรถไปก็จะท้อใจในที่สุด
+ ครอบครัว - เป็นสิ่งสำคัญค่ะ การซื้อที่ดินทำเกษตรนี่ครอบครั วทางบ้านต้องสนับสนุนนะคะ เพราะบางครั้งเป็นความต้องการเฉ พาะของคุณพ่อบ้านอย่างเดียว แต่ครอบครัวทางบ้านไม่สนับสนุน เพราะเคยได้ยินคุณแม่บ้านบ่นว่า เสาร์อาทิตย์แทนที่จะได้พาลูกไป เรียนพิเศษ หรือได้ไปท่องเที่ยวกันตามแหล่ง ท่องเที่ยว ก็ต้องไปใช้ชีวิตกลางแดดร้อน ๆ ขุดดิน ปลูกพืช เรื่องแบบนี้คุณแม่บ้านบางคนและ เด็ก ๆ ไม่เข้าใจค่ะ อยากให้ทำความเข้าใจกันในบ้านให ้เรียบร้อยก่อน เพราะไม่งั้นอาจมีปัญหาภายในครอ บครัวได้ค่ะ
+ ทุน - สะสมมาพอไหม เวลาคำนวณเงินลงทุน คิดให้รอบคอบด้วยค่ะ นอกจากค่าที่ดิน ค่าคนงาน ค่ากิ่งพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าระบบน้ำ ค่าอุปกรณ์การเกษตรต่าง ๆ แล้ว คิดได้เท่าไหร่ ให้คูณ 3 ไว้ก่อนเลย เพราะจริง ๆ มันจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คุณไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกมาก ๆๆๆๆๆ และถ้าเงินสะสมของคุณไม่มากพอ นำไปสู่การเป็นหนี้สินเพื่อนำมา ลงทุน มันจะไม่ยั่งยืนน่ะค่ะ
****************************** ****************************** ******************
พืชพลังงาน หรือ พืชอาหาร หรือ สวนป่า
จากปัจจัยเรื่องเวลา ครอบครัว และทุนที่พูดถึงด้านบน ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกชนิดพ ืชเพื่อทำสวนเกษตรเบื้องต้น ดังนี้ค่ะ
สวนป่า - ถ้าที่ดินอยู่ไกล เวลามีน้อย ภาระครอบครัวมีมาก ทุนมีกลาง ๆ ในช่วง 5-10 ปีนี้ แต่อยากเริ่มแล้ว ก็อยากให้พิจารณาเริ่มที่การทำส วนป่าไปก่อน คือ ปลูกพืชที่ตัดไม้ขายในภายหลัง เช่น สน ยูคา สัก หรือไม้ป่าอื่น ๆ เพราะจะหนักแค่ช่วงปรับปรุงดินแ รก ๆ พอต้นกล้าตั้งหลักได้แล้ว ก็ผ่อนภาระการสิ่งไปดูแลบ่อย ๆ ไป 5 - 10 ปี เช่นไปเดือนละหน หรือ สองเดือนหน ก็ได้ แต่ต้องไปนะคะ ไม่งั้นเพื่อนบ้านอาจจะมาบุกรุก เขาไปปลูกอะไรต่อมิอะไรเป็นการบ ันเทิงไป เราเจอมาแล้วกับที่ดินของเราที่ อยู่ไกล ๆ ไม่ค่อยได้ไปสามสี่เดือน มีสวนพริก สวนถั่ว เกิดขึ้นมาในที่ดินเราเฉยเลย ดีไม่ดีต้นกล้าที่เราปลูกไว้อาจ เจอพืชอื่นเบียดเบียนตายไปก็ได้ หรือไม่ก็เจอมาแล้วค่ะ ที่ชาวบ้านเข้าไปจุดคบไฟหาหนู แล้วทำไฟไหม้สวนเราไปครึ่งสวน พวกสวนป่านี่ช่วงท้าย ๆ ต้องเฝ้ากันดี ๆ ด้วยเพราะไม่งั้นชาวบ้านแอบมาตั ดไม้เราไปขาย ก็มีค่ะ
พืชอาหาร - ต้องการเวลาอย่างมากค่ะ อย่างที่เขียนมาแล้วว่าผู้ปลูกต ้องมีความสม่ำเสมอในการไปดูแล เพราะไม่งั้นเผลอแป๊บเดียวโรคหร ือแมลงลง ต้นไม้อาจจะตายไปทั้งสวนก็ได้ค่ ะ ฝากคนงานเขาก็คงไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะไม่ใช่สวนของเขาน่ะค่ะ พืชอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ พืชตระกูลธัญพืช หรือผักต่าง ๆ ต้องดูแลใกล้ชิดค่ะ นอกจากนี้ช่วงเก็บผลผลิตก็ต้องค อยหาตลาดให้ดี วางแผนการเก็บให้ดี การขนส่ง การเก็บรักษาอีก หากเกษตรกรยังไม่พร้อมก็แบ่งที่ ดินปลูกเฉพาะที่พอกินเองไปก่อน ส่วนที่ดินที่เหลือก็ปลูกไม้ยืน ต้นพวกสวนป่าไปก่อนค่ะ
พืชพลังงาน - พลังงานกำลังขาดแคลน คนเลยเห่อปลูกพืชพลังงานกันใหญ่ ตั้งแต่พวกมัน อ้อย ปาล์ม สบู่ดำ ฯลฯ ราคาก็ขึ้นลงตามที่เราเห็น ๆ ค่ะ พืชน้ำมันนี่มันแทนที่พื้นที่เพ าะปลูกพืชอาหารนะคะ เวลานี้ทั่วโลกกำลังมีประเด็นเร ื่องอาหารขาดแคลน เพราะหลายประเทศที่เคยทำเกษตรกร รมอาหาร เช่น มาเลย์ อินโด บราซิล อาร์เจนติน่า หันไปปลูกพืชพลังงานและยางพาราก ันใหญ่ ในระยะยาวแล้วราคาพืชอาหารจะแซง พืชพลังงานค่ะ สวนวสาจึงอยากเชียร์ให้ทุกคนกัด ฟันปลูกพืชอาหารกันไปก่อนค่ะ และจะให้ข้อคิดสำหรับคนที่อยากป ลูกพืชน้ำมันว่าควรอยู่ใกล้แหล่ งรับซื้อนะคะ เช่นปลูกปาล์มควรอยู่ใกล้ ๆ โรงกลั่นนะคะ หากมีหลาย ๆ โรงในพื้นที่ยิ่งดีค่ะ ไม่งั้นเก็บผลผลิตแล้วส่งไม่ได้ ก็จะเสียหายมากค่ะ เราจะเห็นว่าบางทีพอราคาขึ้นและ น้ำมันที่กลั่นแล้วยังขายไม่ได้ บางโรงกลั่นเขาปิดไม่รับซื้อก็ม ีค่ะ หากมีตัวเลือกก็จะดีค่ะ เพราะพืชน้ำมันนี่เอาไปวางขายตา มตลาดก็ไม่ได้ กินเองก็ไม่ได้ ต้องขายเข้าผู้แปรรูปอย่างเดียว เลย
จบค่ะ
หวังใจอยากให้เป็นบทความที่ช่วย เพื่อน ๆ ที่อยากเป็นเกษตรกร แล้วไม่รู้จะเริ่มที่ไหนดี ได้นำไปใช้ประโยชน์ค่ะ
หากคิดอะไรออก จะมาปรับปรุงเพิ่มเติมเรื่อยๆ ค่ะ
ลองอ่านเพิ่มเติมที่นี่นะครับ
http://www.kasetporpeang.com/ forums/index.php?topic=4941.0
ข้อคิด...สำหรับผู้ที่อยากเป็นเ
เรียน ว่าที่เกษตรกร เกษตรกรมือใหม่เอี่ยม และเกษตรกร part-time ทุกท่าน
จากที่เราได้คุยกับว่าที่เกษตรก
ที่ดิน
การจะเริ่มทำการเกษตรได้นั้นเรา
1. ในที่ดินต้องมีแหล่งน้ำหรือติดก
2. ที่ดินควรใกล้กับถนน และไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ประจำขอ
3. ที่ดินควรใกล้ตลาดหรือชุมชน หรือผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อที่จะสามารถขนส่งผลผลิตเพื
4. ควรมีเพื่อนบ้านและสังคมที่ดี ก่อนซื้อที่ดินควรลองไปสำรวจดูว
5. ที่ดินควรมีต้นไม้ขึ้นอยู่ในที่
6. ที่ดินทำสวนเกษตรส่วนใหญ่ควรเป็
7. ไม่ควรเป็นที่น้ำท่วมขัง ที่ดินบางผืนในช่วงฤดูฝนจะตรงกั
8. ให้สำรวจหน้าดินของที่ดินที่ซื้
การเลือกพืชที่จะเพาะปลูก
1. ก่อนจะปลูกอะไร กรุณาสำรวจสภาพดินและน้ำก่อนว่า
2. ควรเลือกพืชที่จะปลูกมากกว่า 1 ชนิดเพื่อบริหารความเสี่ยง เผื่อชนิดหนึ่งราคาตกหรือขายไม่
3. พืชแต่ละชนิดมีความต้องการน้ำไม
4. ตามทฤษฎีพอเพียง ควรปลูกพืชชนิดให้ประโยชน์เกื้อ
5. นอกจากนี้ ให้คิดในใจเสมอว่า พื้นที่แต่ละพื้นที่มีลักษณะภูม
การตลาด
1. การจะปลูกอะไร (เพื่อการค้า) ให้คิดว่าจะขายได้ที่ไหนก่อน ถ้าปลูกพืชแปลกมากและอยู่ไกลจาก
2. อย่าเห่อปลูกตามกระแส เกษตรกรที่ดี ควรประเมินสภาพตลาดให้ดีด้วย และอย่าดูเหตุการณ์เพียงจุดเดีย
3. หากสนใจจะปลูกเพื่อการส่งออก ควรมีพื้นที่เพาะปลูกในจำนวนมาก
4. อย่าพยายามคิดการณ์ใหญ่เกินไปค่
5. อยากให้อ่านความเห็นของคุณ GolfMBA ที่เขียนไว้น่าสนใจใน http://www.kasetporpeang.com/
การเตรียมตัว/วางแผน
1. เมื่อมีที่ดินแล้ว มีทุนแล้ว ทราบว่าดินเป็นดินชนิดไหน เข้าใจสภาวะอากาศของพื้นที่แล้ว
2. ระบบน้ำเป็นสิ่งสำคัญค่ะ ก่อนจะลงพืชชนิดใด ๆ ระบบน้ำควรจะพร้อมก่อน หากพื้นที่เป็นสภาพเนินเขา ก็ไม่เหมาะกับการทำระบบร่องน้ำท
3. เมื่อระบบน้ำพร้อมแล้ว ก็มาถึงกิ่งพันธุ์ของพืชที่จะลง
4. การบำรุงรักษา เมื่อปลูกพืชลงไปแล้วแน่นอนว่าจ
5. อุปกรณ์การเกษตร ที่จำเป็นต้องใช้ในสวนหลัก ๆ นอกจากพวกจอบ เสียม เครื่องมือพื้นฐานแล้ว ก็มีพวกเครื่องตัดหญ้า เครื่องฉีดยาแบบสะพายหลังหรือแบ
คนงาน
1. ควรมีให้พร้อมค่ะ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากเกินไป เพราะคนงานก็คือคนงานค่ะ ถ้าเขาขยันและฉลาดกว่านี้ เขาก็ไม่มาเป็นคนงานค่ะ การดูแลคนงานให้อยู่กันนาน ๆ บางทีก็ต้องหลับตาข้างหนึ่งค่ะ บางทีเขาอาจจะกินเหล้า เล่นหวย อู้งานบ้าง ตราบใดที่งานที่สั่งไว้เขาทำสำเ
2. ค่าจ้างคนงาน ส่วนมากเราใช้จ้างเป็นรายวันค่ะ
3. วันหยุด คนงานไทยในต่างจังหวัดจะขอมีวัน
การหาความรู้เพิ่มเติม
1. เป็นเกษตรกรต้องหมั่นหาความรู้เ
2. นอกจากเว็บไซต์แล้ว ก็มีหนังสือและวารสารเกษตรต่าง ๆ ที่สามารถหาอ่านเพิ่มความรู้ได้
3. หนังสือเกี่ยวกับคู่มือการเกษตร
ความต้องการ กับ ความเป็นจริง
ผู้ที่อยากเป็นเกษตรกรหลายท่านท
+ เวลา - คุณทำงานประจำในวันเสาร์อาทิตย์
+ ครอบครัว - เป็นสิ่งสำคัญค่ะ การซื้อที่ดินทำเกษตรนี่ครอบครั
+ ทุน - สะสมมาพอไหม เวลาคำนวณเงินลงทุน คิดให้รอบคอบด้วยค่ะ นอกจากค่าที่ดิน ค่าคนงาน ค่ากิ่งพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าระบบน้ำ ค่าอุปกรณ์การเกษตรต่าง ๆ แล้ว คิดได้เท่าไหร่ ให้คูณ 3 ไว้ก่อนเลย เพราะจริง ๆ มันจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่คุณไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกมาก ๆๆๆๆๆ และถ้าเงินสะสมของคุณไม่มากพอ นำไปสู่การเป็นหนี้สินเพื่อนำมา
******************************
พืชพลังงาน หรือ พืชอาหาร หรือ สวนป่า
จากปัจจัยเรื่องเวลา ครอบครัว และทุนที่พูดถึงด้านบน ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกชนิดพ
สวนป่า - ถ้าที่ดินอยู่ไกล เวลามีน้อย ภาระครอบครัวมีมาก ทุนมีกลาง ๆ ในช่วง 5-10 ปีนี้ แต่อยากเริ่มแล้ว ก็อยากให้พิจารณาเริ่มที่การทำส
พืชอาหาร - ต้องการเวลาอย่างมากค่ะ อย่างที่เขียนมาแล้วว่าผู้ปลูกต
พืชพลังงาน - พลังงานกำลังขาดแคลน คนเลยเห่อปลูกพืชพลังงานกันใหญ่
จบค่ะ
หวังใจอยากให้เป็นบทความที่ช่วย
หากคิดอะไรออก จะมาปรับปรุงเพิ่มเติมเรื่อยๆ ค่ะ
ลองอ่านเพิ่มเติมที่นี่นะครับ
http://www.kasetporpeang.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น