บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2012

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์น่าสนใจตรงไหน?

           เมื่อพูดถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนโดยตรงด้วยการซื้อบ้านหรือคอนโดไว้แล้วปล่อยเช่า เพื่อหวังจะมีรายได้จากค่าเช่าที่เข้ามาทุกเดือน แต่การลงทุนแบบนี้ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงทีเดียว และหากหวังว่าจะได้กาไรจากการขายต่อ ก็อาจทาได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบ้านหรือคอนโดที่ซื้อไว้ไม่ได้อยู่ในทาเลที่ดีพอ การซื้อขายเปลี่ยนมือก็คงยากพอดู ขณะที่บางท่านอาจลงทุนด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างบ้านขาย เพื่อหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือกาไรจากการขายหุ้น วิธีนี้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่หากตลาดหุ้นผันผวน ผลตอบแทนที่ได้รับก็คงไม่แน่นอนนัก หากใจไม่หนักแน่นพอ จากที่หวังกาไรก็อาจจะเกิดขาดทุนก็เป็นได้ แล้วจะมีทางเลือกในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบไหนล่ะ ที่จะตอบความต้องการของท่านได้ ? บางท่านอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มาบ้าง ลองมาดูกันว่ากองทุนนี้น่าสนใจตรงไหน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเราให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ 6-8 % ต่อปี ซึ่งนับว่าน่าส

รู้ทัน สำนักงานทวงหนี้โหด

รู้ทัน สำนักงานทวงหนี้โหด ภาค 3 นี้เพื่อที่จะให้ลูกหนี้ "รู้ทัน สำนักงานทวงหนี้โหด" ก่อนอื่นผมยอมรับว่า เว็บนี้ และชมรมหนี้บัตรเครดิตฯมีประโยชน์ต่อลูกหนี้ที่ ไปเจอพวกทวงหนี้ โหดที่ขาดจริยธรรม อย่างน้อยผู้ที่เจอปัญหาดังกล่าว คงพบทางออกอยู่บ้าง แม้จะยังไม่สามารถ ชำระหนี้ได้ แต่คงจะมีความสุขกับการเป็นหนี้ ดีกว่าอยู่อย่าง ความหวาดระแวง ความทุกข์ และอะไรอีกหลายเรื่อง ล้วนเป็นมลพิษแก่สภาพจิตใจ เชื่อผมเถอะ อีก10ปีถ้าเรามีเงินแล้ว ค่อยไปใช้หนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ผมเคยทํางานมาหลายสำนัก แต่วิธีการในการทวงหนี้ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร มีปรัชญาอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ลูกหนี้ ยอมจ่าย เพราะฉะนั้น ลูกหนี้ก็เลยเจอสารพัดวิชามาร108 มาว่าถึงรายได้ที่ ธนาคารเจ้าหนี้แบ่งให้มีตั้งแต่ 30-50%ก่อนฟ้องศาล แต่ถ้าหลังจากฟ้องศาลแล้ว จะได้ส่วนแบ่งเกือบ100%ที่ได้มาก เนื่องจากทางธนาคารเจ้าหนี้ จะตัดเป็นหนี้สูญออกจากระบบบัญชีไปแล้ว จากหนี้ที่ทวงได้ ส่วนมากที่รับอยู่ เป็นธนาคารต่างประเทศ เช่นซิตี้แบ็งค์ แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ ฮ่องกงแบ๊งค์ ส่วนไม่ใช่ธนาคารก็คือ อีซี่บาย อิออน เพราะฉะนั

รู้เท่าทันพวกทวงหนี้

. ภาค 2 รู้เท่าทัน ผู้รับจ้างทวงหนี้ ตามที่ผมเคยโพสหัวข้อเรื่องดังกล่าว เมื่อวันก่อนนั้น ภาคนี้ผมจะขอสรุปเป็นแนวทาง เพื่อจะให้ผู้ที่เป็นหนี้ ได้ซัดกับผู้รับจ้างหนี้ทวงหนี้ ที่มีนิสัยเลวๆได้ ผมขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า " รู้เท่าทัน ผู้รับจ้างทวงหนี้" 1. ประการแรกถ้ามีผู้โทรเข้ามา และอ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือไม่ใช่ ก่อนจะพูดอะไร บอกให้บุคคลนั้น บอกชื่อ นามสกุล และเบอร์โทรสำนักงานของเขา ผมเชื่อว่าพวกมันจะไม่ยอมบอกเด็ดขาด อาจบอกเฉพาะชื่อเล่น เพราะในฐานะที่เคยทำงานสำนักงานดังกล่าว ทางหัวหน้า กำชับเด็ดขาด ห้ามบอกเบอร์ธรรมดา ให้กับลูกหนี้ ที่เราทวงถามเด็ดขาด เพราะถ้าลูกหนี้รู้เบอร์ เกิดมีเรื่องเข้าข่ายถูกแจ้งความกับตำรวจนั้น ตำรวจสามารถติดตามไปเบอร์ดังกล่าวได้ แต่ถ้าเขาโทรมาก่อกวนอีก เราก็เปลี่ยนโทรศัพท์เป็นระบบสั่นก็หมดเรื่อง และพอเวลามีผู้โทรมาให้ดูเบอร์ที่โทรมา บนจอถ้าไม่มีเบอร์โชว์ ก็ไม่ต้องไปรับ กดทิ้งไปเลย 2. หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกมันจะมาพยายามโทรมาด่าว่า พูดจาหยาบคาย แม้ว่าเราไม่เป็นคนเช่นนั้นเราก็ต้องสวมบทผู้ร้ายมั่งละ อย่าไปยอม

กระแส Community Mall…กับโอกาสของธุรกิจ (Start-up Business)

กระแส Community Mall…กับโอกาสของธุรกิจ (Start-up Business)        ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ Community Mall ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่อยู ่ในวงการค้าปลีก หรือแม้แต่ผู้ประกอบการในธุรกิ จอื่นๆที่สนใจเข้ามาลงทุนทำธุ รกิจดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึ งโอกาสในการเติบโต อันเกิดจากการปรับเปลี่ยนพฤติ กรรมการดำเนินชีวิตของ ผู้บริโภคที่เป็นแบบสังคมเมื องมากขึ้นเน้ นความสะดวกสบายรวมไปถึงการเปลี่ ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้ สอยของผู้บริโภคที่ทุกอย่างต้ องพร้อมไปด้ วยความสะดวกสบายและรวดเร็ว จนทำให้เกิดแหล่งซื้อขายสินค้ าหรือแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ใกล้ ที่พักอาศัยเกิดขึ้นมากมาย และจากจุดนี้เองจะเห็นว่ าการขยายโครงการที่อยู่อาศัยสร้ างใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริ มทรัพย์ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน มักจะมี Community Mall เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ บริโภคที่พำนักอาศัยอยู่ในบริ เวณดังกล่าว      จา

คำสารภาพของผู้ที่เคยทำงานที่สำนักงานรับจ้างทวงหนี้

ภาคแรก ในฐานะที่ผมเคยทำงานกับสำนักงานรับจ้างทวงหนี้หลายแห่ง เหตุที่ต้องออกและบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปทำงานกับสำนักงานดังกล่าวอีกเลย เพราะบังเอิญไปทวงกับญาติของตัวเองเข้า แต่ใช้คนละนามสกุล ที่รู้ เพราะวันหนึ่ง กลับไปเยี่ยมบ้าน และได้พบกับญาติคนดังกล่าว ได้มาถามว่าเราทำงานอะไร เราก็บอกว่าทำงานที่สำนักงานทนายความ ทางญาติจึงได้เล่าให้ฟังว่า เป็นหนี้บัตรเครดิต และถูกทวงถามด้วยวาจาหยาบคาย และด้วยวิธีการต่างเหมือนกับที่สมาชิกได้โพสไว้ในเว็บนี้ พอผมกลับไปตรวจสอบชื่อ ปรากฏญาติคนนี้เป็นลูกหนี้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเสียด้วย และเป็นคนที่โทรไปจริง และได้พูดจาตามที่ญาติคนดังกล่าวได้ปรับทุกข์ให้ฟังจริง ผมนี่พูดอะไรไม่ออกเลย เลยตัดสินใจลาออกจากงานทวงหนี้ดังกล่าว และตอนหลังผมพยายามไม่พูดคุยกับญาติคนนั้นอีกเลย เพราะกลัวเขาจำเสียงได้ ผมจึงขอเล่าหลักสูตรได้รับการอบรมมาในการเริ่มต้นทำอาชีพให้ทราบดังกล่าวดัง นี้ สำนักงานที่ผมทำงานอยู่ จะรับจ้างทวงหนี้ทั้งของแบงก์และนอนแบงก์ หัวใจของคนทวงหนี้ จะมีปรัชญาในการทวงหนี้ว่า ทวงอย่างไรก็ได้ขอให้ได้เงิน แม้ว่าทางลูกหนี้ จะอ้างเหตุอย่างไร อย่าไป

ข้อต่อสู้ในคดีแพ่งที่ลูกหนี้ควรศึกษา

ข้อต่อสู้ในคดีแพ่งที่ลูกหนี้ควรศึกษา เมื่อตนเองต้องตกอยู่ในฐานะลูกหนี้และอาจต้อง ถูกฟ้องคดีต่อศาล ลูกหนี้บางคนตกใจและยิ่งต้องเจอกับการทวงหนี้แบบไม่ค่อยจะถูกต้องนักจากตัว แทนฝ่ายเจ้าหนี้ด้วยแล้ว บางคนอาจเกิดอาการเครียดและเท่าที่เคยปรากฏเป็นข่าวบางคนถึงกับคิดฆ่าตัวตายเนื่องจากไม่รู้ว่าจะหาเงิน จากที่ไหนมาใช้คืนให้แก่เจ้าหนี้ปัญหาเหล่านี้อาจจะไม่ต้องกังวลนัก หากท่านรู้ถึงข้อต่อสู้ที่ตนเองมีอยู่เพื่อจะได้นำไปใช้ชี้แจงกับฝ่ายเจ้า หนี้ได้ สำหรับข้อต่อสู้ของลูกหนี้นั้นก็มี...เป็นต้นว่า - ตนเองเป็นหนี้จริงหรือไม่ สัญญาที่เจ้าหนี้อ้างว่าลูกหนี้เป็นหนี้อยู่นั้นเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ - หนี้ที่เจ้าหนี้นำมาทวงถามกับลูกหนี้นั้น สามารถบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ หรือเป็นโมฆะหรือไม่ หรือได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ - ในส่วนดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น ได้มีการคิดถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ และเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ (กฎหมายกำหนดให้คิดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ยกเว้นกรณีที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินสามารถคิดได้ตามที่ประกาศของธนาคาร แห่งประเทศไทยอนุญาตไว้) - และเรื่องสำคั

ซื้อที่ดินจากเจ้าของร่วมที่เป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ซื้อที่ดินจากเจ้าของร่วมที่เป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ เมื่อประมาณ ๓ ปีที่แล้ว มีคนมาบอกขายที่ติดกับคลองซึ่งเป็นสวนกล้วยอยู่   แต่เป็นชื่อเจ้าของในโฉนดเป็นเด็กผู้หญิงอายุ ๘ ขวบ กับพี่ชายอายุ ๒๐ ซึ่งเป็นใบ้ แรก เริ่มเดิมทีที่พื้นนี้เป็นที่แปลงใหญ่ พ่อแม่แบ่งให้ลูก ๕ คน พ่อของน้องที่จะขายที่แต่ตอนแบ่งใส่ชื่อโฉนดตอนนั้นเขาไปใส่ชื่อลูกชายซึ่ง เป็นใบ้ และลูกสาวอีกคน ที่นี พ่อกับแม่ อยากจะขายที่ แต่ติดที่ว่าเป็นชื่อเด็กไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็ยังดีที่พี่ชื่ออีกคนที่เป็นเจ้าของร่วมอายุ ๒๐ ปีแล้ว แล้วจะ ทำไงดี แม่ของเด็กก็เลยต้องวิ่งเต้นไปที่กรมที่ดิน ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปยื่นคำร้องต่อศาลขอแบ่งแยกโฉนด โดยแบ่งคนละครึ่งกับพี่ชาย แต่เรื่องก็ไม่ง่าย ทางอัยการก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลพิพากษา แม่ของเด็กก็ต้องเสียเงินค่าทนาย ค่าน้ำร้อนน้ำชา ค่าโสหุ้ยต่างๆ ทางศาลก็ต้องมาดูว่าแบ่งครึ่งทางไหนถึงจะเป็นธรรมกับผู้เยาว์   ทั้งค่ารังวัดอีก เมื่อวัดเสร็จแล้วก็ต้องให้อัยการศาลมาดูว่าแบ่งส่วนไหนให้กับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เมื่อเรียบร้อยดีแล้วถึงจะมีคำสั่งศาลออกมา เมื่อจะไปซื้อขายกัน

ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับหน้าที่ของศาล

ถ้าจะว่ากันตามกฏหมายแล้ว หากมีหนี้ซึ่งกัน แล้วเกิดการไม่ชดใช้หนี้กันขึ้น ฝ่ายที่เป็นเจ้าหนี้จะต้องไปฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง(หรือศาลคดีผู้บริโภคก็ตาม) เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวตามคำพิพากษา (คดีดำ) โดยศาลท่านจะมีหน้าที่เพียงแค่พิพากษาว่า จำเลยจะต้องจ่ายหนี้คืนให้กับโจทก์หรือเจ้าหนี้ เป็นเงินเท่าใด? ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมควรจะต้องเป็นเท่าไหร่? จึงจะเป็นธรรมตามกฏหมาย...เท่านั้น ท่านจะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการไกล่เกลี่ย หรือออกคำสั่งให้ผ่อนจ่ายหนี้ได้หรือไม่? ผ่อนเท่าไหร่? และผ่อนอย่างไร? เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกมองได้ว่า ศาลลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง...ดังนั้น ส่วนมากท่านจะไม่พิจารณาในเรื่องการผ่อนชำระ ด้วยตัวของท่านเองหรอกนะครับ ยกเว้นจำเลยกับทนายโจทก์จะตกลงกันได้เองต่อหน้าศาล หรือไม่งั้นจำเลยก็ต้องภาวนา ขอให้ได้เจอกับศาลที่ใจดีมากๆ และท่านเข้าข้างช่วยคุณแบบสุดๆ ท่านอาจจะลงมาช่วยพิจารณา ในเรื่องการขอผ่อนของคุณให้...ก็เป็นไปได้...ก็คงต้องไปรอลุ้นกันต่อไปใน ชั้นศาลเอาเองนะครับ และถ้าหากลูกหนี้ถูกศาลแพ่งพิพากษาแล้ว ก็ยังไม่ยอมใช้หนี้ตามคำพิพากษาอีก(หรือที่

ไปขึ้นศาลเพื่อไกล่เกลี่ยกับ KTC

มาแล้วครับ มัวแต่ไปตะลอนกรุงเทพ เช้าวันที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๕๕ ขี่จักรยานมาปากซอย แวะซื้อข้าวเหนี่ยวหมูฝอยไปกินที่ศาลแล้ว ต่อรถตู้สองต่อเพื่อไปศาลมีนบุรี ฝนก็ตกรถก็ติด ลุ้นว่าจะไปถึงทันเวลา ๙ โมงหรือไม่ ถึงศาลตอน แปดโมงสี่สิบ เดินไปซื้อกาแฟกับนั่งกินข้าวเหนียวที่โรงอาหาร เสร็จแล้วก็ไปตรวจสอบรายชื่อคดีแพ่งของเราตามหมายเลขคดีดำ นัดนี้เป็นนัดไกล่เกลี่ย เราก็ขึ้นไปชั้นแปด ซึ่งแต่ละห้องตั้งชื่อได้เข้ากับบรรยากาศมาก ผูกมิตร ๑ ผูกมิตร ๒ ไปถึงหน้าห้อง โชว์บัตรประชาชน ลงชื่อรรับบัตรคิว เราได้คิวที่ 30 ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าตอนเช้านี้จะมีด้วยกันทั้ังหมด 120 คดี ใครมาก่อนได้ไกล่เกลี่ยก่อน ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็น KTC เพราะวันนี้เป็นวันมหกรรมไกล่เกลี่ยของ KTC เจ้าหน้าที่ธนาคารว่าอย่างนั้น ไม่เคยรู้ว่าต้องมามหกรรม คนมากมายล้นที่นั่งขนาดนี้ เขาก็ให้เรารับเอกสารพร้อมบัตรคิว ไปนั่งรอนอกห้องด้านในเพื่อรอไกล่เกลี่ย ทั้งหมด เป็น ลูกหนี้ KTC พอถึงตาเรา เข้าไปในห้อง มีด้วยกันหลายโต๊ะ เป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารคุย โดยมีเงือนไข คล้ายๆ เมนูให้เราเลือกดังต่อไปนี้ 1. ผ่อน 36 งวด พร้อมดอกเบี้ย 7.